ในประเทศไทย ศาลเป็นองค์กรซึ่งมีอำนาจพิจารณาพิพากษาอรรถคดี โดยดำเนินการตามรัฐธรรมนูญ ตามกฎหมาย และในพระปรมาภิไธยพระมหากษัตริย์ บรรดาศาลทั้งหลายจะตั้งขึ้นได้ก็แต่โดยพระราชบัญญัติ
การตั้งศาลขึ้นใหม่เพื่อพิจารณาพิพากษาคดีใดคดีหนึ่งหรือคดีที่มีข้อหาฐานใดฐานหนึ่งโดยเฉพาะแทนศาลที่มีอยู่ตามกฎหมายสำหรับพิจารณาพิพากษาคดีนั้น จะกระทำมิได้ โดยตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย ศาลมี 4 ประเภท คือ
ศาลรัฐธรรมนูญ (Constitution Court)
เป็นศาลสูงและเป็นองค์กรอิสระ ซึ่งวินิจฉัยข้อกฎหมายในกฎหมายรัฐธรรมนูญ มีอำนาจหน้าที่หลักคือพิจารณาวินิจฉัยว่ามีกฎหมายใดขัดแย้งกับกฎหมายรัฐธรรมนูญหรือไม่ ตัวอย่างเช่น วินิจฉัยว่ากฎหมายนั้นๆ ขัดแย้งกับหลักพื้นฐานแห่งสิทธิและเสรีภาพหรือไม่ เป็นต้น
โดยศาลรัฐธรรมนูญนี้ มีอำนาจหน้าที่ที่สำคัญ คือ การพิจารณาวินิจฉัยว่าร่างพระราชบัญญัติหรือร่างพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญหรือร่างข้อบังคับการประชุมของสภาผู้แทนราษฎร ของวุฒิสภา หรือของรัฐสภา ที่สภาผู้แทนราษฎร วุฒิสภา หรือรัฐสภา แล้วแต่กรณี ให้ความเห็นชอบแล้ว แต่ยังมิได้ประกาศในราชกิจจานุเบกษา มีข้อความขัดหรือแย้งต่อรัฐธรรมนูญ หรือตราขึ้นโดยไม่ถูกต้องตามบทบัญญัติแห่งรัฐธรรมนูญหรือไม่ หรือพิจารณาวินิจฉัยว่า บทบัญญัติแห่งกฎหมายที่ศาลจะใช้บังคับแก่คดีใดขัดหรือแย้งต่อรัฐธรรมนูญโดยที่ศาลเห็นเอง หรือคู่ความโต้แย้ง และยังไม่มีคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญในส่วนที่เกี่ยวกับบทบัญญัตินั้น ตลอดจนพิจารณาวินิจฉัยปัญหาเกี่ยวกับอำนาจหน้าที่ขององค์กรต่าง ๆ ตามรัฐธรรมนูญ ซึ่งคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญถือเป็นเด็ดขาดและมีผลผูกพันรัฐสภา คณะรัฐมนตรี ศาล และองค์กรอื่นของรัฐ
การพิจารณาคดีของศาลรัฐธรรมนูญเป็นระบบไต่สวน ศาลมีอำนาจไต่สวนหาข้อเท็จจริงและพยานหลักฐานเพิ่มเติมได้ ซึ่งแตกต่างจากวิธีพิจารณาที่ใช้ในคดีทั่วไปของศาลยุติธรรม
ศาลยุติธรรม (The Court of Justice)
เป็นศาลที่มีอำนาจพิจารณาพิพากษาคดีทั้งปวง เว้นแต่คดีที่รัฐธรรมนูญหรือกฎหมายบัญญัติให้อยู่ในอำนาจของศาลอื่น
ศาลยุติธรรมมี 3 ชั้น คือ ศาลชั้นต้น ศาลอุทธรณ์ และศาลฎีกา เว้นแต่ที่มีบัญญัติเป็นอย่างอื่นในรัฐธรรมนูญหรือตามกฎหมายอื่น
ศาลปกครอง (Administrative Court)
คือศาลที่มีหน้าที่พิจารณาคดีปกครองระหว่างรัฐกับราษฎร หรือระหว่างองค์กรของรัฐ ด้วยกันเอง ทั้งนี้ เป็นศาลที่จัดตั้งขึ้นโดยเฉพาะ แยกต่างหากจากศาลยุติธรรม
ศาลปกครองเป็นศาลที่ใช้ระบบไต่สวน โดยในแต่ละคดีจะมีการพิจารณาโดยองค์คณะของตุลาการ ต่างจากศาลยุติธรรมซึ่งใช้ระบบกล่าวหา ศาลปกครองแบ่งออกเป็น "ศาลปกครองชั้นต้น" และ "ศาลปกครองสูงสุด"
การจัดตั้งศาลปกครอง พิจารณาคดีระหว่างรัฐกับราษฎร มีเหตุผลสำคัญอยู่ 2 ประการ คือ
ประการแรก รัฐในปัจจุบันมีบทบาทและความรับผิดชอบในชีวิตและความเป็นอยู่ของประชาชนมากขึ้น ซึ่งหมายความว่า อำนาจของรัฐมีมากขึ้นเป็นเงาตามตัวด้วย การกระทบกระทั่งระหว่างรัฐกับราษฎร ก็ต้องมากขึ้น ศาลยุติธรรมคงจะไม่สามารถรับพิจารณาคดีปกครองได้ทั้งหมด และอำนวยผลดี
ประการที่สอง การพิพาทระหว่างรัฐกับราษฎร เป็นการพิพาทที่มีลักษณะพิเศษ แตกต่างไปจากการพิพาทระหว่างเอกชนกับเอกชน คือเป็นการพิพาทที่คู่กรณี ไม่อยู่ในฐานะเสมอภาคกัน เพราะฉะนั้น การใช้หลักกฎหมายธรรมดาในคดีปกครองนั้น คงจะไม่ถูกต้องนัก หรือศาลไม่สามารถให้ความเป็นธรรมแก่ราษฎรได้อย่างเต็มที่ ทั้งนี้ มองในแง่ความยุติธรรมที่ราษฎรจะพึงได้รับ เนื่องจากรัฐ มีอำนาจเหนือกว่าราษฎร โดยประการที่การพิพาทระหว่างรัฐกับราษฎรมีลักษณะพิเศษดังกล่าว หลักกฎหมายที่จะนำมาใช้ปรับคดี เพื่อความเป็นธรรมทั้งสองฝ่าย ก็ควรจะต้องเป็นหลักกฎหมายพิเศษ เช่นกัน และหลักกฎหมายดังกล่าวนี้ ศาลปกครองเท่านั้น จะสร้างขึ้นมาได้
ศาลปกครอง จะทำหน้าที่ประสานประโยชน์ระหว่างรัฐกับราษฎร โดยเฉพาะอย่างยิ่ง การคุ้มครองสิทธิเสรีภาพของราษฎร และพิทักษ์อำนาจรัฐ มิให้อำนาจรัฐทำลายเสรีภาพของราษฎร และเสรีภาพของราษฎรทำลายอำนาจรัฐ ศาลปกครองจะทำให้ทั้งสองอย่างเข้ากันได้ โดยรักษาประโยชน์ ของส่วนรวมไว้ได้ และขณะเดียวกัน ก็ให้ความยุติธรรมแก่ราษฎร
แนวความคิดทางการเมืองและการปกครองปัจจุบันที่น่าสนใจคือ การที่ประชาชนมอบอำนาจ ให้รัฐบาลจัดการปกครองประเทศเพื่อความผาสุกของตนแล้ว ใครจะเป็นผู้คอยควบคุมดูแลหรือปกครองรัฐบาลอีกทีหนึ่ง จะมีวิธีการอย่างใด และมีขอบเขตแค่ไหนที่ข้าราชการผู้ใช้อำนาจจะถูกควบคุม เพื่อป้องกันมิให้ใช้อำนาจไปในทางผิด ในการปฏิบัติทั่วไป การควบคุมรัฐบาล ในระบอบประชาธิปไตย แม้จะมีสภาผู้แทนราษฎร และสื่อมวลชนต่างๆ ทำหน้าที่ ควบคุม รัฐบาลอยู่แล้ว แต่ก็กล่าวได้ว่า เป็นการควบคุมที่ห่างเหินเกินไป หลายประเทศได้คิดค้นกลไกควบคุมฝ่ายบริหาร ขึ้นเป็นพิเศษ ซึ่งแต่ละประเทศก็มีวิธีปฏิบัติแตกต่างกันไป อาจจะสรุปได้เป็นแบบใหญ่ๆ ได้ 4 วิธีคือ
ประเทศในภาคพื้นยุโรปหลายประเทศ มีศาลปกครองทำหน้าที่พิจารณาคดีอันเป็นกรณีพิพาทระหว่างรัฐกับประชาชน องค์การของรัฐด้วยกันเองและข้าราชการกับประชาชน ซึ่งประสบผลสำเร็จเป็นอย่างดี ศาลปกครองดังกล่าวนี้ จะถือหลักว่าด้วยความถูกต้องในการใช้อำนาจของรัฐและหลักการว่าด้วยความรับผิดชอบของรัฐ
หลักว่าด้วยความถูกต้องในการใช้อำนาจของรัฐ หมายความว่า อำนาจรัฐที่มีอยู่จะต้องใช้อย่างถูกต้องตามกฎหมาย หรือศาลปกครอง เป็นผู้ควบคุมการใช้อำนาจของรัฐ ส่วน หลักการว่าด้วยความรับผิดชอบของรัฐ มีสาระสำคัญว่า อำนาจของรัฐต้องใช้อย่างมีความรับผิดชอบ ซึ่งหมายถึงการกระทำใด ๆ ของรัฐ ที่ก่อให้เกิดความเสียหายแก่ประชาชน รัฐจะต้องชดใช้ค่าเสียหายหรืองดเว้นปฏิบัติ เพื่อมิให้ความเสียหายเกิดขึ้น
การจัดตั้งศาลปกครองที่ประเทศต่าง ๆ ปฏิบัติอยู่ สามารถจำแนกออกได้เป็น 2 ระบบ
ประเทศที่แยกศาลปกครองและศาลยุติธรรมออกจากกัน หรือใช้ระบบศาลคู่ คือ แยกศาล ออกเป็นสองสาย ในแต่ละสายมีศาลสูงสุดของตัวเอง ศาลทั้งสองต่างเป็นอิสระต่อกัน และต่างมีหน้าที่ ของตน อย่างไรก็ดี ระบบที่แยกศาลออกเป็นสองสายนี้ ก็มีปัญหายุ่งยากอยู่บ้าง กล่าวคือ เกิดความขัดแย้งกันใน 3 รูป ได้แก่ (1) การขัดแย้งกันในอำนาจศาล (2) การขัดแย้งกันในเรื่องของการปฏิเสธ ให้ความยุติธรรม ทั้งนี้ โดยที่แต่ละศาลวินิจฉัยว่าตนไม่มีอำนาจพิจารณาคดี และ (3) การขัดแย้งกัน ในการตัดสินของศาล กรณีเช่นนี้ อาจเกิดขึ้นได้ เมื่อศาลยุติธรรมและศาลปกครอง พิจารณาคดีเดียวกัน แต่การตัดสินของศาลขัดกัน เช่น นาย ก. อาศัยรถยนต์ส่วนตัว ของนาย ข. ไปทำธุรกิจ รถคันที่นาย ก. นั่งไป เกิดชนกับรถของทางราชการ และได้รับบาดเจ็บสาหัส ประการแรก นาย ก. อาจจะฟ้องคนขับรถ ที่ตนนั่งไป ต่อศาลยุติธรรม ซึ่งศาลยุติธรรม อาจจะวินิจฉัยว่า ผู้ที่จะต้องรับผิดชอบนั้น คือคนขับรถราชการ และแนะนำให้ไปฟ้องศาลปกครอง นาย ก. ไม่รู้จะไปฟ้อง ณ ศาลใด อย่างไรก็ดี ในฝรั่งเศสซึ่งเป็นแบบฉบับของการใช้ระบบศาลคู่ ได้แก้ปัญหาขัดแย้งนี้ โดยการจัดตั้งศาลปกครองพิเศษขึ้น เรียกว่า “Tribunal des Conflite” หรือศาลพิจารณาการขัดแย้ง ประกอบด้วย ผู้พิพากษา ของศาลยุติธรรมสูงสุด และศาลปกครองสูงสุด แต่ละฝ่ายจำนวนเท่ากัน ศาลนี้จะทำหน้าที่วินิจฉัยว่า ศาลยุติธรรม หรือศาลปกครอง มีเขตอำนาจหน้าที่เหนือคดี และศาลนี้จะต้องตัดสินคดีเอง หากศาลยุติธรรม และศาลปกครอง ตัดสินชี้ขาดขัดแย้งกัน
ศาลทหาร (Military Court)
ได้มีขึ้นเป็นของคู่กันมาตั้งแต่มีการทหารไว้ป้องกันประเทศ จากหลักฐานทางประวัติศาสตร์ระบบศาลทหารไทยปรากฏตามกฎหมายลักษณะขบฎศึก จุลศักราช 796 ในสมัยกรุงรัตนโกสินทร์ตั้งแต่รัชกาลที่ 1 ถึงรัชกาลที่ 5 มีศาลกลาโหม ชำระความที่เกี่ยวกับทหารและยังชำระความพลเรือนด้วย ทั้งนี้ เนื่องจากสมุหพระกลาโหมนั้นมิได้มีเพียงอำนาจหน้าที่เฉพาะการบังคับบัญชาทหารบก ทหารเรือ เท่านั้น แต่ยังมีหน้าที่จัดการปกครองหัวเมืองฝ่ายใต้ด้วย ศาลที่ขึ้นอยู่ในกระทรวงกลาโหมมีทั้งศาลที่ตั้งอยู่ในกรุงเทพ และศาลในหัวเมืองฝ่ายใต้ด้วย ศาลกลาโหมจึงมีลักษณะเป็นทั้งศาลทหารและศาลพลเรือน
พ.ศ. 2434 พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวได้ทรงพระกรุณาโปรดเกล้า ฯ ให้ปรับปรุงในเรื่องการศาลทั้งหมด โดยให้ตั้งกระทรวงยุติธรรมขึ้น และรวบรวมศาลซึ่งกระจัดกระจายสังกัดอยู่ในกระทรวง ทบวง กรม ต่าง ๆ เข้ามาสังกัดกระทรวงยุติธรรมจนหมดสิ้นทุกศาล ยกเว้นแต่เพียงศาลทหารเพียงศาลเดียวที่ยังคงให้สังกัดกระทรวงกลาโหมอยู่ตามเดิม ศาลในประเทศไทยจึงแบ่งได้เป็นศาลกระทรวงยุติธรรมกับศาลทหารนับแต่นั้นมา
ศาลทหารสามารถแบ่งได้เป็น 3 ประเภท คือ
คดีที่อยู่ในอำนาจศาลทหาร
ศาลทหาร มีอำนาจ พิจารณาพิพากษาลงโทษผู้กระทำความผิดอาญาซึ่งเป็นบุคคลที่อยู่ในอำนาจศาลทหารในขณะกระทำผิด สั่งลงโทษบุคคลใดๆ ที่กระทำผิดฐาน ละเมิดอำนาจศาล นอกจากนี้ยังกำหนดให้มีอำนาจในการพิจารณาคดีอย่างอื่นได้อีกตามที่จะมีกฎหมายบัญญัติเพิ่มเติม ที่เคยมีมาแล้วเช่น ความผิดฐานกระทำการอันเป็นคอมมูนิตส์ เป็นต้น สำหรับอำนาจในการรับฟ้องคดีของศาลทหารแบ่งได้ดังนี้ ศาลจังหวัดทหารจะรับฟ้องคดีที่จำเลยมีชั้นยศเป็นนายทหารประทวน ศาลมณฑลทหารจะรับฟ้องคดีที่จำเลยมีชั้นยศตั้งแต่ชั้นประทวนจนถึงชั้นยศสัญญาบัตรแต่ไม่เกินพันเอก ส่วนศาลทหารกรุงเทพจะรับฟ้องได้หมดทุกชั้นยศ นอกจากนี้ชั้นยศจำเลยมีผลต่อการแต่งตั้งองค์คณะตุลาการที่จะพิจารณาคดีด้วย โดยองค์คณะตุลาการที่จะแต่งตั้งนั้นอย่างน้อยต้องมีผู้ที่มียศเท่ากันหรือสูงกว่าจำเลย
คดีที่ไม่อยู่ในอำนาจศาลทหาร
แยกเป็น 4 ประเภท คือ
บุคคลที่อยู่ในอำนาจศาลทหาร
การแต่งตั้งตุลาการ
|
ที่มา: วิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี
|
วันพุธที่ 14 สิงหาคม พ.ศ. 2556
ศาลในประเทศไทย
สมัครสมาชิก:
บทความ (Atom)