รัฐศาสตร์ยุคใหม่ในสังคมตะวันตก
รัฐศาสตร์ในฐานะที่เป็นองค์ความรู้
ได้ก่อตัวขึ้นและเปลี่ยนแปลงคู่ขนานไปกับการเกิดและพัฒนาการของรัฐในสังคมตะวันตก
โดยเฉพาะอย่างยิ่งสมัยศตวรรษที่ 16 เป็นต้นมา
ดังจะเป็นได้จากแนวทางการศึกษาวิเคราะห์และขอบข่ายการศึกษารัฐศาสตร์ที่หลากหลายได้เริ่มพัฒนาขึ้นมาอย่างกว้างขวางในช่วงระยะนี้
การศึกษารัฐศาสตร์โดยทั่วไป
จะกล่าวถึงเรื่องรัฐและกิจกรรมด้วนต่าง ๆ ของรัฐ
ทั้งภายในและระหว่างประเทศเป็นส่วนใหญ่ (Peter T. Minicas 1987, 24-25) หรือเป็นการศึกษาที่มุ่งตอบสนองความต้องการด้านใดด้านหนึ่งของรัฐเป็นหลักอันได้แก่
การจัดการเรื่องกำลังคน หรือการปลูกฝังอุดมการณ์ทางการเมืองในบางประเทศ เป็นต้น
และด้วยเหตุที่สาระสำคัญของการศึกษารัฐศาสตร์กล่าวถึงหรือรับใช้ไม่ว่าด้านใดของรัฐ
รัฐในแทบทุกสังคมจึงมักจะมีบทบาทหรือเข้ามามีอิทธิพลกำหนดกรอบทิศทางการศึกษารัฐศาสตร์มาโดยตลอด
ดังจะเห็นได้จากการศึกษาวิจัยในสาขารัฐศาสตร์ของสถาบันการศึกษาระดับสูง
มักกล่าวถึงเรื่องโครงสร้างอำนาจและระบอบการปกครอง
อุดมการณ์ทางการเมืองและนโยบายของรัฐ (อนุสรณ์ ลิ่มมณี 2541, 10) นอกเหนือไปจากอิทธิพลของการเปลี่ยนแปลงทางเศรษฐกิจและวัฒนธรรมความเชื่อ
ซึ่งเป็นปัจจัยที่ส่งผลกระทบต่อการศึกษารัฐศาสตร์ในอีกด้านหนึ่ง
และอิทธิพลของรัฐซึ่งเป็นปัจจัยสำคัญหลักดังที่ได้กล่าวไปแล้วกระทั่งกล่าวได้ว่า
สิ่งที่กำหนดกรอบทิศทางการศึกษารัฐศาสตร์ของแต่ละประเทศนั้น แท้จริงคืออิทธิพลของรัฐทั้งทางตรงและทางอ้อม
ในระดับที่เข้มข้นไม่ต่างไปจากรูปแบบของการศึกษาหลักที่ครอบงำวงวิชาการรัฐศาสตร์ระหว่างประเทศและปัจจัยภายนอกด้านอื่น
อันได้แก่การเปลี่ยนแปลงในศูนย์กลางอำนาจทางเศรษฐกิจการเมืองระหว่างประเทศ
(ซึ่งย่อมมีผลกระทบต่อรูปแบบการศึกษารัฐศาสตร์ ไม่ว่าจะเป็นแนวทางการศึกษา
ระเบียบวิธีหรือประเด็นสำคัญในการศึกษา) สักเท่าใดนัก
ซึ่งแม้ว่าบทบาทหนึ่งในการผลักดันการเปลี่ยนแปลงการศึกษารัฐศาสตร์จะเป็นของสถาบันการศึกษาหรือเป็นเรื่องที่คณะหรือภาควิชา
ที่เป็นกลไกหลักในการเรียนการสอน จะว่ากันไปเอง แต่ก็ไม่อาจปฏิเสธบทบาทของรัฐดังกล่าวได้
โดยเฉพาะที่จะเห็นได้ชัดในยุคที่ประเทศหรือระบบการเมืองเป็นแบบเผด็จการอำนาจนิยม
ในประเทศสหรัฐอเมริกาซึ่งถือได้ว่าเป็นแม่แบบของการศึกษารัฐศาสตร์เชิงองค์ความรู้
ได้เติบโตมาอย่างต่อเนื่องนับแต่ช่วงหลังสงครามโลกครั้งที่ 2 หรือช่วงปลายคริสต์ทศวรรษ 1940 เป็นต้นมา
รัฐศาสตร์ยุคใหม่ที่ถือกำเนิดขึ้นมาในสหรัฐอเมริกานั้น
กล่าวได้ว่ามีการพัฒนาตัวเองมาเป็นองค์ความรู้ที่แยกตัวเป็นอิสระจากสังคมศาสตร์สาขาอื่น
หลังจากที่รัฐศาสตร์สมัยใหม่ได้ก่อตัวขึ้นเป็นครั้งแรกในวงวิชาการอเมริกันในช่วงปลายคริสต์ศตวรรษที่
19 จากการก่อตั้งสำนักการศึกษารัฐศาสตร์ (School of
Political Science) ขึ้นที่มหาวิทยาลัยโคลัมเบียในปี ค.ศ. 1880
และได้ขยายตัวไปสู่มหาวิทยาลัยอื่น ๆ
และมีการรวมกันในหมู่ของนักวิชาการและผู้สนใจจัดตั้งสมาคมรัฐศาสตร์อเมริกัน (The
American Political Science Association) (อนุสรณ์ ลิ่มมณี 2541,
5)
การพัฒนาองค์ความรู้ของรัฐศาสตร์ภายหลังช่วงสงครามโลกครั้งที่
2 ทั้งในด้านทฤษฎีและระเบียบวิธีการศึกษารัฐศาสตร์
นับว่าเป็นไปอย่างก้าวหน้าและจริงจังในประเทศแถบยุโรปตะวันตก
จำเพาะอย่างยิ่งประเทศสหรัฐอเมริกา ที่ได้ดำเนินไปอย่างรวดเร็วจนมีลักษณะเฉพาะตัว
แตกต่างไปจากบางประเทศเช่นฝรั่งเศสในช่วงเวลาเดียวกัน
แต่กระนั้นการพัฒนาของรัฐศาสตร์ในแต่ละประเทศก็แตกต่างกันไปบ้าง
มิได้ทัดเทียมกันไปทั้งหมด
แม้ว่ารัฐศาสตร์จะเจริญเติบโตมากในมหาวิทยาลัยต่าง
ๆ ในประเทศฝรั่งเศส ก็ยังไม่ได้มีฐานะที่โดดเด่นไปกว่าการเป็นหน่วยหนึ่งของการศึกษาวิชานิติศาสตร์
ที่ขึ้นชื่อมากของการศึกษาในประเทศดังกล่าว
และมีฐานะเป็นเพียงกลุ่มวิชาที่เกี่ยวข้องกับการเมืองเท่านั้น
ความประการนี้ย่อมพิจารณาได้จากข้อเท็จจริงเกี่ยวกับความคิดเห็นที่แตกต่างกันอย่างเห็นได้ชัดของบรรดานักวิชาการด้านรัฐศาสตร์ต่อการศึกษาเพื่ออธิบายปรากฎการณ์ทางการเมืองและสังคมเอง
อย่างไรก็ดี ในภาพรวมนั้น
รัฐศาสตร์ในฝรั่งเศสได้ทำหน้าที่ประการสำคัญในการฝึกอบรมให้ความรู้แก่นักการเมืองและข้าราชการในสถาบันที่มีชื่อว่า
“Ecole Nationald’ Administration” เสียมากกว่า
ในช่วงเวลาดังกล่าวนั้น
รัฐศาสตร์ได้เติบโตขึ้ขโดยบทบาทสำคัญขององค์การระหว่างประเทศองค์การหนึ่งที่พึงกล่าวถึง
คือ องค์การศึกษาวิทยาศาสตร์และวัฒนธรรมแห่งสหประชาชาติหรือ UNESCO
นับแต่คราวที่ อีเบนสไตน์ (W.Ebenstein) ศาสตราจารย์ผู้สอนวิชารัฐศาสตร์แห่งมหาวิทยาลัยปริ๊นซ์ตัน
ได้เข้ามาทำหน้าที่ประจำในตำแหน่งผู้อำนวยการที่องค์การดังกล่าวเมื่อปี ค.ศ. 1948
ซึ่งถือเป็นการจุดประกายการศึกษารัฐศาสตร์อย่างจริงจังในช่วงนั้น
การดำเนินการดังที่กล่าวไปนี้ได้เริ่มต้นในรูปของโครงการระดมความคิดเห็นของผู้เชี่ยวชาญอันประกอบด้วยนักปรัชญา
นักวิชาการ นักรัฐศาสตร์ นักนิติศาสตร์ ผู้สอนในมหาวิทยาลัยต่าง ๆ
ที่มีชื่อเสียงในประเทศสหรัฐอเมริกาเพื่อจำแนกแยกแยะคุณลักษณะสำคัญของรัฐศาสตร์ใน 3
ประการหลัก ประกอบด้วย (1) เนื้อหา (content)
(2) ระเบียบวิธี (methodology) และ (3)
ความหมายของคำ (terminology) แล้วนำมาผลงานของนักวิชาการต่างๆ
เหล่านี้มาตีพิมพ์รวมเล่มเผยแพร่ในปีค.ศ. 1950 (รายละเอียดศึกษาได้ใน
ไพโรจน์ ชัยนาม เรื่อง “สถาบันการเมืองและกฎหมายรัฐธรรมนูญ:
ภาค 1 ความนำทั่วไป” ตีพิมพ์ปี 2524
หน้า 29-30)
ผลการรวบรวมความคิดเห็นของนักวิชาการจากหลากหลายสาขาต่อเนื้อหาระเบียบวิธีและการให้ความหมายของรัฐศาสตร์โดยบทบาทนำขององค์การ
UNESCO ดังกล่าวข้างต้น
ได้ก่อรูปเป็นบัญชีรายการอันแสดงถีงขอบข่ายและเนื้อหาองค์ประกอบของการศึกษารัฐศาสตร์
ซึ่งหากผู้ศึกษาพิจารณาเปรียบเทียบกับขอบข่ายหรือขอบเขตของการศึกษารับศาสคร์ในชว่งเวลาเดียวกันดังปรากฎในของเอกสารบรรยายฉบับนี้
เราก็อาจอนุมานได้ประการหนึ่งว่าบทบาทประการนี้ขององค์การ UNESCO นับว่าได้รับการยอมรับอยู่ไม่น้อย
(แม้อาจจะเป็นผลสืบเนื่องมาจากตัวผู้นำองค์การคือ ดร.อีเบนสไตน์เอง)
และเป็นส่วนสำคัญไม่น้อยต่อการพัฒนาองค์ความรู้ของสาขาวิชารัฐศาสตร์ ในยุคใหม่ขึ้น
บัญชีรายการได้แสดงถึงขอบข่ายของการศึกษารัฐศาสตร์ไว้ดังนี้
1. ทฤษฎีการเมือง
1.1 ทฤษฎีทางการเมือง
1.2 ประวัติความคิดทางการเมือง
2. สถาบันการเมือง
2.1 รัฐธรรมนูญ
2.2 รัฐบาลกลาง
2.3 รัฐบาลหรือการปกครองเขต
แขวงและท้องถิ่น
2.4 ราชการบริหาร
2.5 ภารกิจหน้าที่ทางเศรษฐกิจและสังคมของรัฐบาล
2.6 สถาบันการเมืองเปรียบเทียบ
3. พรรคการเมือง
กลุ่มและมติมหาชน
3.1 พรรคการเมือง
3.2 กลุ่มและสมาคม
3.3 การเข้าเกี่ยวข้องของพลเมืองในการปกครอง
(รัฐบาล) และในราชการบริหาร
3.4 มติมหาชน
4. ความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ
4.1 นโยบายระหว่างประเทศ
4.2 องค์การและการบริหารระหว่างประเทศ
4.3 กฎหมายระหว่างประเทศ
แม้ว่ารัฐศาสตร์ตะวันตกจะดูเติบโตขึ้นมาอย่างมีนัยสำคัญ
อย่างไรก็ดี ยังคงเป็นที่ถกเถียงกันในหมู่นักวิชาการด้านรัฐศาสตร์และด้านนิติศาสตร์
ถึงความเป็นเอกลักษณ์แยกออกมาอย่างชัดเจนและเป็นอิสระ (autonomy)
ขององความรู้ด้านรัฐศาสตร์โดยเฉพาะในฐานะที่เป็นวิทยาการ (discipline)
ว่าด้วยการศึกษาเกี่ยวกับระบบของรัฐบาลและองค์การทางการเมืองอยู่ไม่น้อย
นักวิชาการบางท่านได้แก่ ยอร์ช บรูโด ได้กล่าวไว้ในหนังสือเรื่อง “Methode
de la Science Politique (1959)” ว่ารัฐศาสตร์เป็นระเบียบวิธีอย่างหนึ่งที่ทำให้การศึกษารัฐธรรมนูญเป็นไปอย่างได้ผลและเป็นการยืนย้ำความสัมพันธ์ระหว่างกฎหมายรัฐธรรมนูญกับรัฐศาสตร์ไว้
และช่วยทำให้รัฐศาสตร์ได้รับความคุ้มครองป้องกันที่จำเป็นต่อการถูกดึงให้ออกนอกลู่นอกทาง
(ไพโรจน์ ชัยนาม 2524, 40-43) ทัศนะของบรูโด
ดังกล่าวย่อมเห็นได้อย่างแจ้งชัดว่ามีฐานะเป็นเพียงภาคส่วนหนึ่งที่มีความสัมพันธ์กันแนบแน่นอยู่กับนิติศาสตร์
โดยเฉพาะกฎหมายรัฐธรรมนูญอยู่ไม่น้อยเลยที่เดียว แต่ในภายหลังช่วงต้นคริสต์ทศวรรษ 1950
โบริส มีรกีน-เกตเซวิช
เป็นตัวอย่างของนักวิชาการท่านหนึ่งที่ได้กล่าวถึงความเป็นเอกลักษณะของการศึกษารัฐศาสตร์อย่างน่าสนใจ
ปรากฎในหนังสือชื่อ “รัฐธรรมนูญในยุโรป (1951)” โดยกล่าวไว้ว่า แม้รัฐศาสตร์มีวัตถุประสงค์ที่ยืมเอามาจากนิติศาสตร์
ประวัติศาสตร์ สังคมวิทยาและเศรษฐศาสตร์
แต่สิ่งที่แตกต่างไปอันเป็นสาระสำคัญของรัฐศาสตร์โดยเฉพาะก็คือ
ระเบียบวิธีการศึกษา (method) ของรัฐศาสตร์ที่มุ่งศึกษาถึงความหมายทางการเมืองของสถาบันทางสังคม
ตลอดจนการค้นหาผลที่เกิดขึ้นจากกฎหมายของสถาบันหรือระบอบการปกครองอันใดอันหนึ่ง
ด้านการวิเคราะห์ไปยังเหตุ (causes) มากกว่าที่มุ่งศึกษาความโน้มเอียง
(tendency) ของเรื่องดังกล่าว นอกจากนี้
นักรัฐศาสตร์บางท่านได้แก่ แอยเซนมานน์ แห่งมหาวิทยาลัยกรุงปารีส 1 รวมทั้งนักวิชาการอีกหลายท่านในกลุ่ม “ Political Scientist” หรือเรียกว่า “นักรัฐศาสตร์” ได้โต้แย้งแนวคิดว่าด้วยการที่รัฐศาสตร์เป็นสาขาหนึ่งของนิติศาสตร์
ไว้ว่า กฎหมายรัฐธรรมนูญและรัฐศาสตร์นั้น
เป็นวิทยาการที่มีสภาพแตกต่างกันโดยไม่ขึ้นแก่กันหรือรัฐศาสตร์มิได้ขึ้นแก่วิทยาการใดมาไม่น้อยกว่าครึ่งศตวรรษแล้วในประเทศทางตะวันตก
และกล่าวว่าแม้รัฐธรรมนูญจะมีวัตถุประสงค์ของการศึกษาที่ใกล้เคียงกันกับการศึกษาเรื่องรัฐบาล
ระบอบหรือองค์การทางการเมืองของรัฐ
แต่ก็เป็นเพียงความใกล้เคียงกันโดนผิวเผินเท่านั้น
หรือกล่าวได้ว่าเป็นการแตกต่างกันที่สาระสำคัญอยู่นั่นเอง (ดูรายละเอียดใน ไพโรจน์
ชัยนาม 2524, 21-23)
รัฐศาสตร์ในโลกตะวันตก
ได้พัฒนาก้าวหน้าแยกออกมาจากการเป็นส่วนหนึ่งของการศึกษากฎหมายรัฐธรรมนูญหรือจากร่วมเงาของสาขานิติศาสตร์มาอย่างมั่นคง
เป็นเอกลักษณ์โดยลำดับกระทั่งเข้าสู่ยุคใหม่
หากพิจารณาในแง่ของสาขาวิชาการทางรัฐศาสตร์ที่เดิมสามารถแบ่งออกได้เป็น 6 กลุ่ม สาขาวิชาใหญ่ ๆ ซึ่งประกอบด้วย 1) Political Philosophy and
Political Thought 2) Internal Politics 3) Comparative Politics 4) Public Law
and Public Policies 5) Public Administration และ6)
International Relations ไปเป็น 10 สาขาวิชาหลัก
ผ่านการจัดหมวดหมู่วิทยานิพนธ์ระดับปริญญาเอกของประเทศสหรัฐอเมริกา เป็นตัวอย่าง
ดังนี้
1. American Government
2. Biopolitics
3. Comparative Politics
4. Criminal Justice
5. International Relations
6. Methodology
7. Political Theory
8. Public Administration
9. Public Law
10. Public Policies
และหากพิจารณาจากการกำหนดกลุ่มวิชาการในการประชุมสมาคมรัฐศาสตร์อเมริกัน
(American Political Science Association-APSA) จะยิ่งปรากฎความหลากหลายของแขนงวิชาการความรู้ทางรัฐศาสตร์และรัฐประศาสนศาสตร์มากขึ้นเป็น
46 กลุ่มวิชาการดังนี้ (ธีรภัทร์ เสรีรังสรรค์ 2547,
4-5)
1. Political Thought and
Philosophy : Historical Approach
2. Foundation of Political theory
3. Normative Political theory
4. Formal Political Theory
5. Political Psychology
6. Political Economy
7. Political and History
8. Political Methodology
9. Teaching and Learning in
Political Science
10. Undergraduate Education
11. Comparative Politics
12. Comparative Politics of
Developing Countries
13. Politics of Communist and Former
Communist Countries
14. Comparative Politics of Advanced
Industrial Societies
15. European Politics and Society
16. International Political Economy
17. International Collaboration
18. International Security
19. International Security and Arm
Control
20. Foreign Policy
21. Conflict Processes
22. Legislative Study
23. Presidency Research
24. Public Administration
25. Public policy
26. Law and Courts
27. Constitutional Law and
Jurisprudence
28. Federalism and Intergovernmental
relations
29. State Politics and Policy
30. Urban Politics
31. Women and Politics
32. Race, Ethnicity and Politics
33. Religion and Politics
34. Representation and Electoral
System
35. Political Organization and
Parties
36. Election and Voting Behavior
37. Public Opinion and Political
Participation
38. Political Communication
39. Science, Technology and
Environmental Politics
40. Information Technology and
Politics
41. Politics and Literature
42. New Political Science
43. Ecological and Transformational
Politics
44. International History and
Politics
45. Comparative Democratization
46. Human Rights
มองในแง่พัฒนาการและทิศทางความเป็นไปของรัฐศาสตร์ในสังคมตะวันตก
ธเนศวร์ เจริญเมือง (2545, 20-22 ) ได้กล่าวว่า ในห้วงเวลากว่า 1 ศตวรรษที่ผ่านมา
สังคมตะวันตกส่วนใหญ่มีระบบการเมืองการปกครองในระบอบประชาธิปไตยที่มั่นคง
ระบบการปกครองมีลักษณะที่กระจายอำนาจสู่ การปกครองท้องถิ่นมีความเข้มแข็ง
มีระบบเศรษฐกิจแบบเสรีนิยม (Liberal Economy) โดยเฉพาะหลังสงครามโลกครั้งที่สอง
ประเทศเหล่านี้มีนโยบายที่เป็นปฏิปักษ์ต่อลัทธิคอมมิวนิสต์และคัดค้านระบบเศรษฐกิจแบบสังคมนิยม
(Socialism) ซึ่งผลของบริบททางสังคมดังกล่าว
ได้ทำให้วิชารัฐศาสตร์ในประเทศตะวันตกส่วนใหญ่มีลักษณะสำคัญอย่างน้อย 7 ประการ
ประการแรก การเรียนการสอนรัฐศาสตร์
โดยส่วนใหญ่มุ่งเน้นความเข้มข้นทางวิชาการ กล่าวคือ มีทั้งการฟังคำบรรยาย
การอภิปรายและเปลี่ยนความคิดเห็นในห้องเรียน การอ่านหนังสือประกอบจำนวนมาก
และการเขียนรายงานที่เกิดจากการค้นคว้าเอกสารค่อนข้างดี
มีวารสารทางวิชาการเกี่ยวกับรัฐศาสตร์จำนวนมากและสม่ำเสมอ
ประการที่สอง การเรียนการสอน
มีลักษณะเปิดกว้าง มีเนื้อหาวิชาครอบคลุมระบบการเมืองต่าง ๆ อย่างกว้างขวาง
มีสถาบันการศึกษาจำนวนมากและส่วนใหญ่มีแนวทางการศึกษาที่หลากกลาย เนื่องจากระบบการเมืองเป็นแบบเปิด
ประการที่สาม การศึกษษให้ความสำคัญต่อระบอบบประชาธิปไตยมากกว่าระบบการเมืองแบบอื่น
หรือนิยมชมชอบการปกครองระบอบประชาธิปไตยมากกว่าระบอบการเมืองอื่น ๆ
ประการที่สี่ มีวิชาและการศึกษาค้นคว้าเกี่ยวกับการปกครองท้องถิ่นจำนวนมาก
เช่น การเมืองในเขตที่สถาบันการศึกษานั้นตั้งอยู่ การเมืองในระดับมลรัฐ เป็นต้น
ประการที่ห้า มีการวิพากษ์วิจารณ์ระบบการเมืองที่เป็นปฏิปักษ์ต่อระบบเศรษฐกิจเสรั
โดนเฉพาะลัทธิสังคมนิยมและคอมมิวนิสต์
โดยพาะในช่วงแห่งความขัดแย้งทางอุดมการณ์ระหว่างค่ายโลกเสรีกับค่ายสังคมนิยมในระหว่างทศวรรษที่
2510-2520 นอกจากนี้ ยังมีการเสนอแนวคิดใหม่ ๆ
หลายอย่างเกี่ยวกับประเทศกำลังพัฒนาเช่น เสนอว่าทิศทางการพัฒนาสังคม
ในที่สุดก็จุพัฒนาเช้าสู่ระบอบประชาธิปไตยตามทฤษฎีภาวะทันสมัย (Modernization
Theory) เป็นต้น ซึ่งแนวความคิดเหล่านี้ มีบทบาทอย่างสูงต่อวงการศึกษารัฐศาสตร์ของประเทศกำลังพัฒนา
ประการที่หก การศึกษารัฐศาสตร์เน้นไปที่การศึกษาเพื่อแก้ไชปัญหาในระบบการเมือง
มิใช่การแสวงหาระบบใหม่
เนื่องจากแต่ละประเทศต่างมีพัฒนาการของระบอบประชาธิปไตยมาอย่างต่อเนื่องยาวราน
เนื้อหาของการศึกษาจึงมีลักษณะเฉพาะส่วนเพื่อแก้ไขปรับปรุงส่วนเหล่านี้ เชน
การศึกษานโยบายสาธารณะ สถาบันทางการเมือง และพฤติกรรมทางการเมือง
โดยเฉพาะการลงคะแนนเวียงและทัศนคติของประชาชน เป็นต้น
ประการที่เจ็ด ประชาชนเข้าไปมีส่วนร่วมทางการเมืองและการปกครองในระบอบประชาธิปไตยอย่างแข็งขัน
มีกลุ่มรณรงค์ของประชาชนจำนวนมาก ประชาชนมค่วามรู้พืนฐานในเรื่องการเมืองค่อนข้างดีทั้งในระดับชาติและระดับท้องถิ่น
แต่อย่างไรก็ดี
รัฐศาสตร์ในประเทศตะวันตกกลับไม่ค่อยได้รับความสนใจในฐายะวิชาที่มีนักศึกษาเลือกเรียนจำนวนมาก
โดยเฉพาะระดับปริญญาโทและปริญญาเอก
เนื่องจากหน่วยงานที่ต้องการนักศึกษารัฐศาสตร์เหล่านี้ ล้วนแล้วแต่เป็นสถาบันการศึกษาต่าง
ๆ นั้นเอง ซึ่งแตกต่างไปจากประเทศกำลังพัฒนาเช่นประเทศไทย
รัฐศาสตร์จะได้รับการยอรับในวงวิชีพมากกว่าความเป็นวิชาการ
ดังที่จะได้ศึกษาต่อไปเรื่องพัฒนาการ รัฐศาสตร์ในสังคมไทย
ธีรภัทร์
เสรีรังสรรค์ (2547,9 -11) ได้เสนอทัศนะโดยชี้ให้เห็นทิศทางใหม่ของรัฐศาสตร์ไว้ว่า
ในช่วงจุดเปลี่ยนของศตวรรษ วิชารัฐศาสตร์ได้ก้าวไปสู่ทิศทางใหม่ที่เรียกว่า “รัฐศาสตร์ใหม่” (The New Political Science) ซึ่งแม้รัฐศาสตร์จะยังไม่ก้าวย่างเข้าสู่กระบวนทัศน์ใหม่
หรือมีการเปลี่ยนแปลงที่ยังไม่ถึงขั้นการปฏิวัติทางศาสตร์ (Science Revolution)
อย่างไรก็ตาม
มีข้อสังเกตในรูปแบบทางวิชาการของีรัฐศาสตร์ที่เปลี่ยนแปลงไปในหลายประการดังนี้
ประการแรก เน้นการศึกษาเชิงประจักษ์
และมุ่งเน้นสหวิทยาการ
รัฐศาสตร์ใหม่ได้ให้ความสนใจในการศึกษาเชิงประจักษ์
(empiricism) เป็นการสานต่อการศึกษารัฐศาสตร์แบบพฤติกรรมศาสตร์
และประจักษ์นิยมในช่วง 3-4 ทศวรรษที่ผ่านมา
โดยเน้นการศึกษาที่สามารถตรวจสอบปรากฎการณ์ที่เป็นจริงได้อย่างแน่นอน
โดยใช้เทคนิคสมัยใหม่ที่พัฒนาการจากความเจริญก้าวหน้าทางด้านอิเลคทรอนิคส์
เทคโนโลยีข่าวสาร และคอมพิวเตอร์ทำให้สามารถศึกษาข้อมูลได้อย่างกว้างขวางหลากหลายรูปแบบได้มากกว่าในอดีต
ทั้งในทางเทคนิคด้านประมาณและเทคนิคด้านคุณภาพ สำหรับด้านการศึกษาคุณภาพ
ได้มีการพัฒนาวิธีการและการประดิษฐ์ซอพท์แวร์มาใช้ในการศึกษาอย่างกว้างขวาง เช่น
การใช้ซอพท์แวร์วิเคราะห์ข้อเขียน คำพูด รูปภาพ เป็นต้น ซึ่งในช่วงเวลาประมาณ 10
ปีที่ผ่านมา
ตำราและเทคนิคการศึกษาที่ละเอียดอ่อนเหล่านี้ได้เพิ่มขึ้นหลายสิบเท่าตัว
อันเป็นการขยายขอบเขตการศึกษารัฐศาสตร์เชิงประจักษ์ให้รวดเร็วและหยั่งรากลึกลงไปในรายละเอียดได้มากยิ่งขึ้น
นอกจากนี้
วิชารัฐศาสตร์ยังมีแนวโน้มที่จะรับเอาระเบียบวิธี (Methodology) ของศาสตร์แขนงอื่น ๆ มาใช้ประโยชน์ในการศึกษาและอธิบายปรากฎการณ์ต่าง ๆ
มากขึ้น
เอกลักษณ์ของวิชารัฐศาสตร์จึงไม่ใช่ศาสตร์ที่มีความสมบูรณ์ในตัวเองทั้งในด้านขอบเขตเนื้อหาและระเบียบวิธีการ
แต่เป็นศาสตร์ที่มีลักษณะเปิดกว้าง เน้นสหวิทยาการหรือการผสมผสานกับศาสตร์แขนงอื่นในลักษณะข้ามสาขา
ประการที่สอง เน้นการศึกษาสถาบันและกลุ่มย่อยที่หลากหลาย
ในทศวรรษใหม่นี้
การศึกษารัฐศาสตร์ไม่เพียงแต่ให้ความสนใจด้านการศึกษาสถาบันหลักทางการเมืองการปกครอง
เช่น สถาบันนิติบัญญัติ สถาบันบริหาร สถาบันตุลาการ พรรคการเมือง กลุ่มผลประโยชน์
และกระบวนการที่สำคัญ เช่น กระบวนการเลือกตั้ง เป็นต้น เท่านั้น
หากแต่ยังให้ความสำคัญแก่สถาบันและกระบวนการที่เกิดขึ้นใหม่ในยุคข้อมูลข่าวสาร
ซึ่งมีหลากหลายจากการที่อำนาจได้เปลี่ยนแปลงไปจากเดิมและมีการกระจายอำนาจลงสู่รากฐานของสังคม
การที่อำนาจของรัฐส่วนกลางได้เปลี่ยนไปหรือลดน้อยลง
และอำนาจของกลุ่มวัฒนธรรมย่อย ๆ ในสังคมมีความกล้าแข็งขึ้น
กลายเป็นประชาคมการเมืองกระจายตัวอยู่ทั่วประเทศ
และมีความเข้มแข็งตลอดจนบทบาททางการเมืองมากยิ่งขึ้นตามลำดับ
กระทั่งรัฐศาสตร์ใหม่ไม่อาจละเลยที่จะให้ความสนใจต่อการกำเนิด พัฒนาการ
ความเข้มแข็ง และบทบาทของสถาบันการเมืองทั้งหลายเหล่าหนี้ได้ ในกรณีของประเทศไทย
สถาบันที่เป็นองค์กรเกิดใหม่ตามรัฐธรรมนูญ
องค์กรที่เกี่ยวข้องกับสิทธิสมนุษยชนและสิทธิชุมชน องค์กรพัฒนาเอกชน
ประชาคมท้องถิ่น เป็นต้น ได้ก่อตัวขึ้นอย่างหลากหลาย มีพัฒนาการเข้มแข็งและมีบทบาททางการเมืองมากขึ้น
ซึ่งควรเป็นประเด็นสำคัญต่อการศึกษาทางรัฐศาสตร์และรัฐประศาสนศาสตร์ในมิติและบริบทใหม่ของประเทศไทย
ประการที่สาม ความสนใจในปัญหาที่เชื่อมโยงกับศาสตร์แขนงอื่น
การศึกษารัฐศาสตร์แนวใหม่
โดยเฉพาะในด้านความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ มุ่งเน้นการศึกษาสภาพความเป็นจริงของปัญหาที่เกิดขึ้น
ซึ่งมีความเกี่ยวพันกับศาสตร์สาขาอื่น อาทิ
ปัญหาวิกฤตทางเศรษฐกิจที่มีผลกระทมต่อการเมืองภายในประเทศและระบบการเมืองระหว่างประเทศ
อิทธิพลของสถาบันระหว่างประเทศที่สำคัญได้แก่ กองทุนการเงินระหว่างประเทศ (IMF)
ธนาคารโลก (WORLD BANK) องค์การการค้าโลก (WTO)
ตลอดทั้งอิทธิพลของระบบเศรษฐกิจเสรีได้แก่ การเปิดเสรีทางการเงิน
เสรีทางการค้า และเสรีทางการลงทุน ซึ่งมีผลกระทบโดยตรงและโดยอ้อมต่อการเมือง
เศรษฐกิจและสังคมของประเทศต่าง ๆ ทั่วโลก
โดยได้กลายมาเป็นประเด็นที่ได้รับความสนใจศึกษามากขึ้น
ในขณะเดียวกับที่การให้ความสนใจกระแสโลกาภิวัตน์ (Globalization) และหลักธรรมาภิบาล (Good Governance) ก็ยังคงเป็นเรื่องที่นักรัฐศาสตร์ด้านความสัมพันธ์ระหว่างประเทศให้ความสนใจอยู่ต่อไป
ประการที่สี่ เน้นการนำไปใช้ประโยชน์ได้จริง
การศึกษารัฐศาสตร์ใหม่
มุ่งเน้นในรายละเอียดที่สามารถนำไปใช้ประโยชน์โดยตรงได้จริง
โดยผ่านขั้นตอนของการประยุกต์แต่เพียงเล็กน้อย นั่นคือ
ผลของการศึกษาทางรัฐศาสตร์ใหม่ที่เน้นองค์ความรู้ที่หลากหลาย
ได้แผ่กิ่งก้านสาขาเข้าไปในทุกองคาพยพทางการเมืองการปกครองและการบริหาร
ซึ่งเป็นการขยายความเข้มแข็งขององค์ความรู้เชิงประจักษ์เดิมให้มีความละเอียดยิ่งขึ้น
และสามารถให้การอธิบายและทำนายปรากฎการณ์ทางการเมืองที่เป็นอยู่ในสภาพการณ์ปัจจุบันได้อย่างชัดเจนยิ่งขึ้น
ประการที่ห้า เน้นความเป็นศาสตร์และคุณค่าต่อสังคมส่วนรวม
รัฐศาสตร์ยังคงเน้นความสำคัญของความเป็นศาสตร์ทางวิชาการที่บรรดานักรัฐศาสตร์ต่างพยายามที่จะยกสถานะ
ศักดิ์ศรี และเกียรติยศให้ทัดเทียมกับศาสตร์สาขาอื่น ๆ
โดยเฉพาะในกลุ่มสังคมศาสตร์ด้วยกัน
ภารกิจของสาขาวิชารัฐศาสตร์คือการสร้างแนวความคิดและภูมิปัญญาในรูปแบบต่าง ๆ
ที่ใช้ประโยชน์ได้จริงและมีคุณค่าต่อสังคมส่วนรวม
การนำเสนอวิธีกานในการแก้ไขปัญหาเพื่อให้สังคมและพลเมืองมีชีวิตที่ดีขึ้นไายใต้กระแสโลกาภิวัตน์
นอกจากนั้น รัฐศาสตร์ยังเป็นสื่อกลางสำหรับศาสตร์สาอื่น ๆ
ที่ต้องอาศัยกระบวนการในการผลักดันให้เกิดผลของการศึกษาวิจัย
ให้เกิดประโยชน์ต่อสังคมส่วนรวม ไม่ว่าจะเป็นการศึกษาในรูปแบบใด ๆ ก็ตาม