แม้ในปัจจุบันนักรัฐศาสตร์ต่างยังไม่อาจหาข้อยุติได้ว่าการศึกษารัฐศาสตร์ควรมีขอบข่ายวิชาครอบคลุมไปในเรื่องขอลข่ายอะไรบ้างและควรศึกษาอย่างไร
ซึ่งเป็นเรื่องของวิธีการศึกษาวิชารัฐศาสตร์
และผู้เขียนเอกสารบรรยายก็มิได้มุ่งประสงค์ที่จะชี้ข้อสรุปเช่นนั้น
ดังจะเห็นได้จากขอบข่ายการศึกษาวิชานี้ที่ได้ยกมาให้เห็นอย่างค่อนข้างหลากหลายแต่อย่างไรก็ดี
หากพิจารณาในทางหนึ่ง ไม่ว่าขอบข่ายของการศึกษารัฐศาสตร์จะเป็นไปในแบบใด ต่างก็เน้นไปที่ความมุ่งหมายของการศึกษารัฐศาสตร์อย่างน้อย
2 ประการ คือ (1) เพื่อแสวงหาความเป็นศาสตร์ทางการเมือง
และ (2) แสวงหาหนทางไปสู่ความมีชีวิตที่ดีของมนุษย์ในสังคม
ด้วยกันทั้งสิ้น
การศึกษาวิชารัฐศาสตร์หรือแขนงวิชารัฐศาสตร์นั้น
ได้มีนักวิชาการทั้งต่างประเทศและนักวิชาการด้านรัฐศาสตร์ไทยได้จำแนกแยกย่อยขอบเขตของวิชารัฐศาสตร์ไว้หลายแขนง
เช่นที่ เดชชาติ วงศ์โกมลเชษฐ์ (2508, 10-11) ได้จำแนกขอบเขตการศึกษารัฐศาสตร์เพื่อความสะดวกและประโยชน์ในการวิจัย
ออกเป็น 6 แขนงประกอบด้วย
1.ทฤษฎีการเมืองและประวัติความคิดทางการเมือง
(Political theory and History of political thought)
กลุ่มนี้วิจัยถึงทฤษฎี
ตำราและความคิดเห็นต่าง ๆ
ที่สำคัญตั้งแต่สมัยโบราณจนถึงสมัยปัจจุบันเพื่อทราบถึงเหตุและผล
รวมทั้งการต่อเนื่องกันของสถาบันการเมือง
2.สถาบันทางการเมือง (political
inlititutions)
สาขาวิชานี้เจาะจงวิจัยและนิยามระบบ
องค์ประกอบ และอำนาจของสถาบันทางการเมือง
รวมทั้งนโยบายการจัดตั้งและโครงร่างของการปกครองของรัฐ
(รวมทั้งการปกครองส่วนท้องถิ่น) และการปกครองเปรียบเทียบระหว่างรัฐ (Comparative
govemment)
3.กฎหมายสาธารณะ (Public
laws)
กลุ่มนี้มุ่งไปในงานวิจัยรากฐานของรัฐรวมทั้งปัญหาของการแบ่งแยกอำนาจ
ค้นคว้าถึงความสัมพันธ์ของกฎหมายทั่วไปกับกฎหมายสูงสุดของรัฐ
และปัญหาการบังคับให้เป็นไปตามกฎหมาย
การพิจารณาถึงอำนาจหน้าที่ของระบบศาลยุติธรรมและความสัมพันธ์ระหว่างจารีตประเพณีกับกฎหมายด้วย
4.พรรคการเมือง
กลุ่มอิทธิพลและประชามติ (Political parties, Pressure hroups and publics
opinion)
กลุ่มนี้พิจารณาถึงบทบาท
จุดประสงค์การจัดตั้งและผลของพรรคการเมือง กลุ่มอิทธิพล และประชามติ
โดยเฉพาะอย่างยิ่งในความพยายามที่จะมีอิทธิพลต่อสถาบันทางการเมืองรวมทั้งการประเมินผลการใช้ปัจจัยทั้งสามโดยนักการเมือง
5.รัฐประศาสนศาสตร์ (Public
administration)
ศึกษาเกี่ยวกับการจัดการกำลังคน
เงินและวัตถุ ในอันที่จะปฏิบัติให้เป็นไปตามเจตจำนงของการปกครองของรัฐ
กลุ่มนี้จึงเกี่ยวข้องโดยเฉพาะอย่างยิ่งเกี่ยวกับการปฏิบัติ (execution)
ให้เป็นไปตามอุดมคติและจุดประสงค์ของรัฐอย่างมีสมรรถภาพและได้ผลที่สุด
6. ความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ
(International Relation)
พิจารณาเกี่ยวกับเรื่องนโยบาย
หลักการและวิธีการในความสัมพันธ์ระหว่างรัฐแขนงวิชาที่รวมอยู่ในกลุ่มนี้ได้แก่
นโยบายต่างประเทศ การเมืองและการบริหารระหว่างประเทศ องค์การระหว่างประเทศ
กฎหมายระหว่างประเทศและการดำเนินการทางการฑูต
จรูญ
สุภาพ (2522, 7-10) ได้จำแนกขอบเขตการศึกษารัฐศาสตร์ออกเป็น 8
แขนง ประกอบด้วย
1. ทฤษฎีหรือปรัชญาการเมือง
คำว่า
“ทฤษฎีการเมือง (Political Theory)” นั้น มีความเกี่ยวข้องกับหลายคำที่เราท่านอาจเคยได้ยินหรือคุ้นเคยมาบ้างเช่นคำว่า
“ความคิดทางการเมือง (Political Thought)” ซึ่งหมายถึง
ความเชื่อเกี่ยวกับการเมืองของคนกลุ่มหนึ่งกลุ่มใดในยุคหนึ่งยุคใดและปรัชญาทางการเมือง
อันหมายถึง หลักจริยธรรมซึ่งถือเป็นแนวทางในการกำหนดนโยบายของสังคม
อันเป็นเสมือนหลักการแห่งเหตุผล
หรืออธิบายในแง่หนึ่งได้ว่าเป็นเหมือนราดฐานของระบบการเมือง
ซึ่งแต่ละรูปแบบระบบการเมืองก็จะมีปรัชญาการเมืองเป็นเบื้องหลังแตกต่างกันไป
ควบคู่ไปกับอุดมการณ์ทางการเมือง (Political Ideology) ซึ่งเป็นเสมือนเป้าหมายทางการเมืองที่เป็นพลังผลักดันให้มนุษย์มีพฤติกรรมหรือปฏิบัติการอย่างหนึ่งอย่างใดเพื่อให้เป็นไปตามเป้าหมายนั้น
เหตุที่ทฤษฎีทางการเมืองเกี่ยวข้องกับปรัชญาทางการเมือง
และความคิดทางการเมืองก็เนื่องมาจาก
ทฤษฎีการเมืองเป็นสาขาวิชาที่มีรากฐานมาจากวิชาปรัชญาการเมืองหรือความคิดทางการเมือง
(ทินพันธ์ นาคะตะ 2541, 19)
นอกจากนี้
ทฤษฎีการเมืองนี้สิ่งสำคัญยังช่วยให้นักรัฐศาสตร์สามารถรวบรวมข้อมูลที่ได้จากสาขาวิชาอื่น
และดำเนินการศึกษาเกี่ยวกับเรื่องหนึ่งเรื่องใดที่เกี่ยวกับการเมืองได้อย่างมีกรอบและทิศทางอ้างอิง
และสามารถนำข้อมูลนั้นมาหาข้อสรุปและแนวทางในการแก้ไขปัญหาเชิงปฏิบัติ เช่น
การใช้หลักกฏหมายในการปกครองประเทศ การถ่วงดุลอำนาจ เป็นต้น
2. พรรคการเมือง
มติมหาชน และกลุ่มอิทธิพล ซึ่งรวมเรียกว่า Political Dynamics
สาขาวิชานี้นับได้ว่าเป็นเรื่องใหม่ที่ได้รับความสนใจกันทั่วไป
โดยเป็นสาขาวิชาที่ศึกษาถึงพลังต่าง ๆ ที่มีผลต่อรัฐบาลและการเมือง เช่น
อำนาจทางศิลธรรม เศรษฐกิจสังคม เป็นต้น และพลังอำนาจเหล่านี้
จะช่วยให้เข้าใจถึงการดำเนินงานทางการเมืองและลักษณะแห่งปรากฎการณ์ทางการเมือง
สาขานี้ครอบคลุมถึงการศึกษาที่เกี่ยวกับประวัติศาสตร์ องค์การ และวิธีการต่าง ๆ
ของพรรคการเมือง บทบาทของกลุ่มอิทธิพล การวัดและการใช้มติมหาชน
การวิเคราะห์การโฆษณาชวนเชื่อ และคำที่สือความหมายทางการเมือง
ประโยชน์ของวิชานี้คือช่วยในการวิเคราะห์ทางการเมือง
โดยเฉพาะที่เกี่ยวกับพฤติกรรมทางการเมือง
3. กฎหมายที่เกี่ยวกับสาธารณะหรือกฎหมายมหาชน
การศึกษารัฐศาสตร์ในสาขากฎหมายมหาชน
นับได้ว่ามีพัฒนาการความเป็น มาอันยาวนาน
กระทั่งกล่าวได้ว่ากฎหมายมหาชนเป็นองค์ประกอบที่เก่าแก่ที่สุดของรัฐศาสตร์
ในอดีตกฎหมายมหาชนศึกษาเกี่ยวกับอำนาจและขอบเขตแห่งอำนาจของรัฐบาลการควบคุมกิจกรรมของบุคคลหรือกลุ่มบุคคลโดยรัฐบาล
รวมทั้งการแก้ไขปัญหาความขัดแย้งระหว่างกลุ่มบุคคลกัลรัฐบาล เช่น
การศึกษากฎหมายรัฐธรรมนูญ กฎหมายปกครอง เป็นต้น
ส่วนปัจจุบันกฎหมายมหาชนได้หันมาศึกษาถึงปกากฎการณ์ทางกฎหมายที่มีความสัมพันธ์กับการเมืองการปกครอง
เช่น แนวความคิดต่าง ๆ ที่เน้นในกฎหมายรัฐธรรมนูญ
การกำหนดและตีความในข้อบัญญัติเพื่อเป็นแนวทางในการทำงานของรัฐบาล กฎหมายปกครอง
ตลอดจนการศึกษาในเรื่องสิทธิและเสรีภาพของประชาชน กระบวนการตุลาการกล่าวเช่นนี้
นักศึกษาจะเห็นภาพได้ว่า
วิชารัฐศาสตร์จะเริ่มต้นด้วยการศึกษาเกี่ยวกับหรือสัมพันธ์กัยกฎหมายมหาชนอย่างแยกไม่ออก
เนื่องจากกิจกรรมเกือบทุกอย่างของรัฐบาลย่อมมีความเกี่ยวพันกับกฎหมายอยู่เสมอ
4. รัฐประศาสนศาสตร์
สาขาวิชารัฐประศาสนศาสตร์หรือการบริหารรัฐกิจ
นับได้ว่าเป็นสาขาหรือแขนงใหม่ของวิชารัฐศาสตร์
เนื่องจากการที่รัฐบาลมีขอบเขตการทำงานหรือการบริหารงาน
ที่ต้องนำเอากฎหมายและนโยบาลการตัดสินใจไปสู้การปฏิบัติที่กว้างขวางมากขึ้นนอกจากนี้
ยังเป็นความสำคัญที่จะต้องเกี่ยวข้องกับกระบวนการต่าง ๆ
ในการจัดองค์การและการบริหารงาน
โดยมุ่งเน้นในเรื่องความถูกต้องและเป็นประโยชน์ต่อสาธารณะ ในปัจจุบัน
การศึกษารัฐประศาสตร์มีความสัมพันธ์กับรัฐศาสตร์และประกอบไปด้วยการศึกษาที่ยึดหลักประสิทธิภาพในการบริหาร
ความเสมอภาคและเป็นธรรมในสังคม ความสัมพันธ์ระหว่างการเมือง นโยบาย และการบริหาร
มนุษย์สัมพันธ์ ภาวะผู้นำ องค์การสาธารณะ ระบบราชการ ทฤษฎีองค์การ
รัฐประศาสนศาสตร์เปรียบเทียบ พัฒนบริหารศาสตร์
รวมทั้งเทคนิคตลอดจนวิธีดำเนินการวิจัยทางการปฏิบัติการใหม่ ๆ เป็นต้น
5.ความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ
ซึ่งรวมถึงการฑูต การเมืองระหว่างประเทศกฎหมายระหว่างประเทศ
และองค์การระหว่างประเทศ
การศึกษาวิชาความสัมพันธ์ระหว่างประเทศนั้น
ได้รับความสนใจอย่างมาก ภายหลังสงครามโลกครั้งที่ 1 ซึ่งก่อนสงครามโลกครั้งดังกล่าว
มิได้ถือกันว่าวิชานี้เป็นสาขาหนึ่งของวิชารัฐศาสตร์ โดยต่อมาได้รับความนิยมมากขึ้นในภายหลังสงครามโลกครั้งที่
2 ในระยะหลังมีหลายสาขาที่เป็นส่วนหนึ่งของวิชาความสัมพันธ์ระหว่างประเทศอาทิเช่น
การฑูต การเมืองระหว่างประเทศ กฎหมายระหว่างประเทศ
องค์การระหว่างประเทศนโยบายต่างประเทศ ซึ่งต้องอาศัยองค์ความรู้ทางรัฐศาสตร์และความรู้ของวิชาต่าง
ๆ ในสาขาสังคมศาสตร์ด้วย เช่น ภูมิศาสตร์ ประชากร เศรษฐกิจ ประวัติศาสตร์
วัฒนธรรมเหล่านี้เป็นต้น
6.รัฐบาลเปรียบเทียบ
สาขาวิชานี้นับได้ว่าเป็นสาขาวิชาที่เก่าแก่ที่สุดสาขาหนึ่ง
พอ ๆ กับวิชาทฤษฎีการเมือง ดูได้จากการศึกษาสังเกตลักษณะของรัฐบาลต่าง ๆ
ของอริสโตเติ้ลในสมัยโบราณ
ซึ่งถือว่าเป็นการศึกษารัฐบาลเปรียบเทียบเป็นครั้งแรกของโลก
สาระสำคัญของวิชานี้คือการสำรวจศึกษาระบบ รัฐบาลและการเมืองของประเทศต่าง ๆ
ในนานาทวีป
7. สภา (Legislature)
และการออกกฎหมาย (Legislation)
8. รัฐบาล และการธุรกิจ
โรดี
และคณะ (Rodee and Others 1983, 7-15) กล่าวว่า
นับเป็นเวลาประมาณ 2,500 ปี
ที่วิชารัฐศาสตร์ได้มีการศึกษาเกี่ยวกับรัฐในเรื่องการกำเกิดรัฐ การตัดสินความ
ข้อจำกัดอำนาจหน้าที่ กระบวนการและกระบวนการวิธีเหมาะสมในการศึกษา แต่กระนั้น
นักรัฐศาสตร์ก็ยังไม่อาจหาข้อสรุปที่แน่ชัดเกี่ยวกับการจำแนกแยกย่อยขอบเขตของการศึกษาวิชารัฐศาสตร์ที่สมบูรณ์และถูกต้องเพียงพอ
(complete and sufficiently exact)
โรดี
และคณะ (Rodee and Others 1983, 7-15) ได้จำแนกขอบเขตการศึกษารัฐศาสตร์ไว้
12 สาขาด้วยกัน กล่าวคือ
1. ปรัชญาการเมือง (Political
philosophy)
2. การตัดสินความและกระบวนการทางกฎหมาย
(Judicial and legal process)
3. กระบวนการทางบริหาร
(Executive process)
4. องค์การทางการบริหารและพฤติกรรม
(Administrative organization and behavior)
5. การเมืองว่าด้วยการนิติบัญญัติ
(Legislative politics)
6. พรรคการเมืองและกลุ่มผลประโยชน์
(Political parties and interest groups)
7. การออกเสียงและมติมหาชน
(Voting and public opinion)
8. การกล่อมเกลาทางการเมืองและพฤติกรรมทางการเมือง
(Political socialization and political culture)
9. การเมืองเปรียบเทียบ
(Comparative politics)
10. การพัฒนาทางการเมือง
(Political development)
11. การเมืองระหว่างประเทศและองค์การระหว่างประเทศ
(International politics and organization)
12. ทฤษฎีทางการเมืองและวิธีการศึกษา
(Political theories and methodology)
ขอบคุณข้อมูลดีๆจาก http://knowledge.eduzones.com/knowledge-2-2-31538.html
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น