แนวทางการศึกษารัฐศาสตร์ (Approaches in Political Science)
ด้วยประการที่เป้าหมายหลักของการศึกษารัฐศาสตร์คือ
การแสวงหาหนทางหรือการที่จะทำความเข้าใจ (understanding) ถึงที่มาและความเป็นไปของปรากฎการณ์ต่าง
ๆ ในทางการเมือง เพื่อที่จะหาคำอธิบายและคาดการณ์แนวโนม้ของปรากฎการณ์ดังกล่าวในอนาคต
ไม่ว่าจะมีการนำความรู้ด้านนี้ไปใช้เพียงใด หรือไม่
และเพื่อวัตถุประสงค์ใดก็ตามการที่จะเข้าใจปรากฎการณ์ทางการเมืองได้อย่างชัดเจนนั้น
จะต้องอาศัยวิธีการวิเคราะห์เป็นเครื่องมือสำคัญ ทั้งนี้เพราะการวิเคราะห์เป็นการจำแนกสิ่งต่าง
ๆ ที่เกี่ยวข้องกับปรากฎการณ์ ด้วยการชี้ให้เห็นถึงระดับ
ประเภทและทิศทางของความสัมพันธ์ที่ดำรงอยู่ในภาวะการณ์หนึ่ง
อันทำให้เข้าใจได้ว่าปรากฎการณ์ทางการเมืองนั้นคืออะไร
ทำไมจึงเกิดขึ้นและเกิดขึ้นได้อย่างไร 31 หรือกล่าวได้ว่า
นักรัฐศาสตร์จะใช้แนวทางการศึกษาวิเคราะห์มาเป็นกรอบความคิด (Conceptual
Framework) สำหรับการมองขอบข่าย สาระ
และปัญหาของเรื่องรวมหรือปรากฎการณ์ทางการเมืองที่เขาสนใจ
ความพยายามที่จะทำความเข้าใจและอธิบายปรากฎการณ์ทางการเมืองนี้
ได้ก่อให้เกิดแนวทางการศึกษาการเมืองหรือรัฐศาสตร์ขึ้นมาอย่างหลากหลาย
เริ่มจากแนวทางที่เก่าแก่ที่สุดคือการนำแนวคิดเชิงปรัชญามาใช้พิจารณาและเลือกเป้าหมายทางการเมืองเพื่อเป็นแนวทางการปฏฏิบัติให้เกิดความสัมฤทธ์ผลในเป้าหมายยั้น
นอกจากนี้ยังได้แก่ แนวคิดเชิงอำนาจ แนวคิดเรื่องสถาบัน
แนวคิดในเรื่องกระบวนการนโยบายสาธารณะ เป็นต้น 32 ซึ่งแต่ละแนวทางก็มีกรอบการมองและวิเคราะห์การเมืองแตกต่างกันลงไปในหลักการและรายละเอียด
ดังจะได้กล่าวถึงรายละเอียดต่อไป
นับแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน
นักรัฐศาสตร์ทั้งหลายต่างเห็นพ้องกันว่า
ในการศึกษารัฐศาสตร็ซึ่งได้มีพัฒนาการมาตั้งแต่สมัยกรีกโบราณนั้น
มิได้มีเพียงแนวทางการวิเคราะห์หรือระเบียบวิธีการศึกษาแบบหนึ่งแบบใดที่ได้รับการยอมรับกันโดยทั่วไป
แม้อาจปรากฎว่าแนวทางการศึกษาวิเคราะห์หรือระเบียบวิธีการศึกษาบางอย่างจะได้รักความนิยมในแง่ที่ถูกนำมาใช้เป็นรูปแบบหรือแนวทางในการศึกษากันอย่างกว้างขวาง
แล้วแต่ความพยายามของนักรัฐศาสตร์แต่ละยุคแต่ละสมัยที่ต้องการจะทำความเข้าใจการเมืองในฐานะที่เป็นส่วนสำคัญของชีวิตมนุษย์
รวมทั้งการอธิบายและการนำเอาเหตุผล
ข้อเท็จจริงไปสรุปเพื่อสร้างรูปแบบและแนวความคิดที่จะนำไปประยุกต์ใช้อธิบายปรากฎการณ์ทางการเมืองที่เกิดขึ้น
แนวทางการศึกษาวิเคราะห์
(approach) หมายความได้ว่า เป็นวิธีการกว้าง ๆ
ในการพิจารณาสืบสาวราวเรื่องหรือตรวจสอบในเรื่องการเมือง 33 ซึ่งแตกต่างไปจากระเบียบวิธีการศึกษา
(method) ที่หมายความถึงวิถีทางที่คน ๆ หนึ่งใช้ไนการศึกษา
ไม่ว่าจะมีนิยามหรือคำจำกัดความ (definition) หรือแนวทางในการวิเคราะห์อย่างไร
ไม่ว่าจะเป็นการศึกษาที่เป็นระบบหรือไม่ หรือมีการสร้างแบบจำลองหรือตัวแบบ (mode)
ของการศึกษาไว้หรือไม่ก็ตาม แต่อย่างไรก็ดี พบว่า
นักวิชาการยังมีความเห็นแตกต่างกันไปบ้างเกี่ยวกับแนวทางการศึกษาวิเคราะห์รัฐศาสตร์
อันเป็นผลมาจากมุมมองหรือทัศนะในการพิจารณาภูมิหลังของรัฐศาสตร์แต่ละแนวทางการศึกษา
ซึ่งผู้เขียนได้นำมารวบรวมไว้ และขอทำความเข้าใจเป็นเบื้องต้นว่า คำว่า “แนวทางการศึกษาวิเคราะห์” “แนวทางการศึกษา” “แนวทางการวิเคราะห์” แม้จะแตกต่างกันบ้างในเนื้อความ
แต่ก็หมายความถึงประการเดียวกันคือ
แนวทางการศึกษาวิเคราะห์รัฐศาสตร์หรือแนวทางการศึกษาวิเคราะห์การเมือง นั่นเอง
เดวิด
อี แอพเตอร์ (David E. Apter) ในหนังสือเรื่อง “Introduction
to Political Analysis” ตีพิมพ์ในปี 1977 ได้แบ่งแนวทางการศึกษาวิเคราะห์การเมืองออกเป็น
6 แนวทาง ดังนี้
1. แนวทางการศึกษาวิเคราะห์แบบปรัชญาการเมือง
(Political Philosophy)
แนวทางการศึกษาวิเคราะห์แบบนี้
ถือได้ว่าเป็นแนวทางที่เก่าแก่ที่สุด โดยมีจุดเริ่มต้นมาจากปรัชญาสมัยกรีกโบราณ
สาระสำคัญของแนวทางการศึกษาวิเคราะห์แบบนี้เป็นการพิจารณาถึงรูปแบบการปกครองที่ดี
มีความสัมพันธ์กับชีวิตที่ดีของมนุษย์
โดยมุ่งที่จะแสวงหาแนวทางการปรับการดำรงชีวิตของมนุษย์ให้ใกล้เคียงสอดคล้องกับคุณค่าหรืออุดมคติที่ดีงามตามทัศนะของนักปรัชญาการเมืองโบราณ
แนวทางการวิเคราะห์ของนักปรัชญาการเมืองโบราณเช่น เพลโต้ อริสโตเติ้ล เป็นต้น
ล้วนแล้วแต่มีส่วนในการเสนอแนะแนวทางในการพิจารณาที่มีผลสืบเนื่องมาสู้นักรัฐศาสตร์ในสมัยปัจจุบันได้แก่
สเตราส์ (Leo Strauss) ที่เห็นว่า
กิจกรรมทางการเมืองโดยธรรมชาติเป็นเรื่องที่เกี่ยวกับค่านิยม
2. แนวทางการศึกษาวิเคราะห์เกี่ยวกับรัฐ
แนวทางการศึกษาวิเคราะห์แบบนี้
เกิดขึ้นในช่วงคริสต์ศตวรรษที่ 16-17 จากอิทธิพลแนวคิดของมาเคียเวลลี่
(Machiavelli) ซึ่งมองสภาพความเป็นจริงทางการเมืองและได้สร้างทฤษฎีเกี่ยวกับชนชั้นนักปกครองขึ้นมา
ต่อมาในคริสต์ศตวรรษที่ 20 แนวทางการศึกษาวิเคราะห์เรื่องรัฐนี้ได้รับการปรับปรุงไปตามบริบทของสังคมโดยเน้นในเรื่องโครงสร้างแห่งกฎเกณฑ์ที่เป็นทางการตามรัฐธรรมนูญ
หรือมองรัฐในแง่กฎหมายมากขึ้น โดยเน้นถึงการกำเนิดรัฐและรูปแบบลักษณะของรัฐ
3. แนวทางการศึกษาวิเคราะห์เชิงสถาบันการเมืองการปกครอง
แนวทางแบบนี้
เน้นในเรื่องของที่มาแห่งอำนาจและการแบ่งแยกอำนาจ โดยการศึกษากฎหมายรัฐธรรมนูญและรูปแบบการปกครองและสถาบันในการปกครองได้แก่
สถาบันนิติบัญญัติ สถาบันฝ่ายบริหาร และสถาบันตุลาการ
รวมทั้งเน้นไปที่การศึกษาวิเคราะห์ความสัมพันธ์ระหว่างรัฐบาลกลางและรัฐบาลท้องถิ่น
คาร์ล ฟรีดริช (Carl J. Friedrich) ในหนังสือเรื่อง “Constitutional
governent and politics” ตีพิมพ์ในปี 1937 กล่าวว่า
แนวทางการวิเคราะห์การเมืองแบบนี้ มักถูกนำไปใช้ในการศึกษาการปกครองเปรียบเทียบ
4. แนวทางการศึกษาวิเคราะห์เกี่ยวกับอำนาจ
แนวทางการศึกษาวิเคราะห์แนวนี้
ได้ให้ความสำคัญของการเมืองว่าเป็นเรื่องเกี่ยวกับอำนาจ
อันเป็นการกำหนดการมีส่วนร่วมในเรื่องอำนาจ
ซึ่งสะท้อนให้เห็นถึงสภาวะที่มนุษย์พยายามไขว่คว้าให้ได้มาซึ่งอำนาจเพื่อการตัดสินใจ
และบังคับให้เป็นไปตามความต้องการของผู้มีอำนาจ และในแนวคิดนี้
รัฐมิใช่โครงสร้างที่เป็นไปตามกฎเกณฑ์และกฎหมาย แต่เป็นโครงสร้างของกลุ่มต่าง ๆ
ที่แข่งขันกันเพื่อให้ได้มาซึ่งอำนาจและเครื่องมือของรัฐ
และจะเห็นได้ว่าแนวทางการศึกษาแบบนี้เป็นเรื่องที่เกี่ยวข้องสัมพันธ์กับกลุ่มผลประโยชน์ในรูปแบบต่าง
ๆ ด้วย กระทั่งช่วงกลางคริสต์ศตวรรษที่ 20 แนวการศึกษาวิเคราะห์เชิงอำนาจได้ขยายความสนใจไปศึกษาถึงความสัมพันธ์ทางอำนาจระหว่างบุคคลกับชุมชนมากข้น
อันมีส่วนทำให้รัฐศาสตร์เข้าใกล้ชิดกับสังคมศาสตร์มากขึ้นไปโดยปริยาย
5. แนวทางการศึกษาวิเคราะห์เกี่ยวกับการตัดสินใจและนโยบายสาธารณะ
แนวทางการศึกษาวิเคราะห์แนวนี้
มองว่ารัฐศาสตร์เป็นเรื่องที่เกี่ยวกับการตัดสินใจและเรื่องนโยบายสาธารณะ
ซึ่งได้ก่อรูปขึ้นมาในช่วงคริสต์ศตวรรษที่ 20 จุดสำคัญของแนวการศึกษาวิเคราะห์นี้กล่าวได้ว่าประกอบด้วย
การเน้นที่กระบวนการตัดสินตกลงใจ (process of decision-making)และการเน้นที่เนื้อหานโยบาย (policy content)
ภายหลังปี
1945 เมื่อวิธีการศึกษาเชิงพฤติกรรมศาสตร์
ได้รับความนิยมมากขึ้นในวงการรัฐศาสตร์
ได้มีส่วนผลักดันให้แนวการศึกษาวิเคราะห์ที่เน้นกระบวนการตัดสินตกลงใจในแนวแรก
บดบังความสำคัญของการเน้นในเรื่องเนื้อหานโยบาย
ซึ่งเป็นความต้องการที่จะหลีกเลี่ยงประเด็นเรื่องการประเมินค่าและการเสนอแนะนโยบาย
และหลีกเลี่ยงประเด็นข้อถกเถียงถึงความเป็นกฎเกณฑ์อันเป็นสากลเชิงศาสตร์
แต่กระนั้นก็ดี
การศึกษาเนื้อหานโยบายก็ได้รับความสนใจจากนักรัฐศาสตร์บางส่วนมรามุ่งศึกษาผลลัพธ์ต่อสังคมของนโยบาย
(policy outcomes) มากขึ้น
6. แนวทางการศึกษาวิเคราะห์เชิงระบบการเมือง
แนวทางนี้ได้เริ่มใช้กันมาตั้งแต่ช่วงกลางคริสต์ทศวรรษที่
1950 โดยเป็นความมุ่งหมายที่จะมองการเมืองให้กว้างไปจากการศึกษาเฉพาะเรื่องของรัฐและเรื่องของสถาบันทางการเมืองการปกครอง
ด้วยการพยายามสร้างทฤษฎีไปใช้ในการวิเคราะห์การเมืองได้ไม่ว่าจะเป็นที่ใดในโลก
โดนมุ่งเน้นศึกษาเรื่องกระบวนการทางการเมือง การทำหน้าที่ต่าง ๆ ของระบบการเมือง
มากกว่าโครงสร้างหรือสถาบันทางการเมือง
สนธิ
เตชานันท์ ได้จำแนกแนวทางการวิเคราะห์รัฐศาสตร์ไว้เป็น 3 แนวทาง ประกอบด้วย
1. แนวทางการศึกษาวิเคราะห์รัฐศาสตร์เชิงนโยบาย
(policy approach)
แนวทางการศึกษาวิเคราะห์แบบนี้
พิจารณาการเมืองในแง่กระบวนการกำหนดนโยบาย ด้วยการนำแนวคิดเชิงระบบ (system
analysis) มาศึกษา
อธิบายรวมทั้งเป็นแนวทางการปรับปรุงกระบวนการนำเข้า (input) ส่วนที่ทำหน้าที่แปลงสิ่งนำเข้า
(conversion) ส่วนนำออกจากระบบ (output) และส่วนย้อนกลับ (feedback) โดยมีความมุ่งหมายที่จะทำความเข้าใจและอธิบายการดำเนินการของกระบวนการต่าง
ๆ ดังกล่าวจากการสังเกตผลการดำเนินงานเท่าที่จะสามารถกระทำได้
อันเป็นผลให้รัฐศาสตร์ได้รับการพิจารณาว่าเป็นวิชาที่เน้นในเรื่องนโยบายศาสตร์
2. แนวทางการศึกษาวิเคราะห์เชิงอำนาจ
(power approach)
แนวทางการศึกษาวิเคราะห์แบบนี้เห็นว่า
อำนาจ (power) และการต่อสู้แข่งขันกันเพื่อให้ได้มาซึ่งอำนาจ
เป็นแก่นสารัตถะหรือเนื้อแท้ของการเมือง ซึ่งแตกต่างไปจากแนวทางการวิเคราะห์เชิงนโยบายอย่างมาก
เนื่องจากมิได้ให้ความสนใจมองว่าการเมืองเป็นกระบวนการที่มีระเบียบแบบแผนตามตัวแบบระบบ
(systems model) แต่การเมือง
เป็นการต่อสู้แข่งขันและการแสดงออกเชิงอิทธิพลของคนหรือกลุ่มคนที่ครอบงำต่อการทำงานของระบบการเมือง
ด้วยเหตุนี้ การศึกษาวิเคราะห์การเมืองแนวนี้
จึงมีสาระสำคัญในการศึกษาถึงประเด็นการได้มาซึ่งอำนาจ การใช้อำนาจ
และการคงไว้ซึ่งอำนาจทางการเมืองโดยเชื่อว่าจะเป็นวิธีที่ดีที่สุดและสอดคล้องกับความเป็นจริงมากที่สุดในการทำความเข้าใจและอธิบายถึงคงามพ่ายแพ้และชัยชนะทางการเมืองได้
3. แนวทางการศึกษาวิเคราะห์เชิงศิลธรรมหรือเป้าหมาย
(moral and goals approach)
แนวทางการศึกษาแบบนี้
มิได้ให้ความสนใจต่อกระบวนการของระบบการเมืองและอำนาจทางการเมืองเช่นเดียวกับแนวทาง
2 แนวทางที่ได้กล่าวมาแล้ว
แต่เป็นการพิจารณาถึงทิศทางและเป้าหมายของการเมือง ซึ่งประกอบไปด้วยลักษณะทางศิลธรรม
รูปแบบพื้นฐานของความชอบ ความถูกต้อง และความเหมาะสมทางการเมือง
ซึ่งก็ต้องพิจารณาถึงข้อจำกัดของขอบเขตอำนาจทางการเมือง
อันดูจะเป็นเรื่องที่ไม่ง่ายนักต่อการทำความเข้าใจ
และมักปรากฎว่ามีนักรัฐศาสตร์จำนวนน้อยที่เห็นด้วยกับแนวทางการศึกษาแนวนี้
เมื่อเปรียบเทียบกับแนวทางการศึกษาวิเคราะห์รัฐศาสตร์เชิงนโยบายและเชิงอำนาจเช่นที่ได้กล่าวถึงแล้ว
กล่าวโดยสรุป
จากแนวทางในการศึกษาวิเคราะห์รัฐศาสตร์ที่ได้กล่าวถึงไปแล้วนั้น จะเห็นได้ว่า
รัฐศาสตร์เป็นวิชาหนึ่งที่เก่าแก่ซึ่งเกิดขึ้นมาควบคู่กับสังคมมนุษย์ในยุคสมัยที่เริ่มมีการรวมกลุ่มปกครองตนเองและสังคมอย่างชัดเจน
นับย้อนไปได้ถึงยุคกรีกโบราณเมื่อประมาณ 2,500 ปีมาแล้ว
โดยเป็นวิชาที่ศึกษาถึงลักษณะและวัตถุประสงค์และการจัดองค์กรของรัฐ
รวมถึงระบบการเมืองการปกครองและสถาบันเกี่ยวกับการเมืองการปกครองโดยได้วิวัฒนาการเชิงลักษณะวิชาผ่านยุคสมัยที่จักรวรรดิโรมันเรืองอำนาจ
เข้าสู่ยุคฟื้นฟูศิลปวิทยาการ และยุคสมัยใหม่
ดังที่ได้แบ่งยุคการศึกษารัฐศาสตร์ให้เห็นกันไปแล้ว กระนั้น
วิวัฒนาการของการศึกษารัฐศาสตร์ดังกล่าว
ก็ล้วนแล้วแต่กำเนิดเกิดขึ้นและเป็นไปในบริบทของสังคม และเติบโตไปตามพลังทางเศรษฐกิจการเมืองของสังคมตะวันตก
เนื้อหาสาระของแนวทางการศึกษาวิเคราะห์ก็ได้แตกต่างกันไปตามสภาวะการณ์ปัญหาทางการเมืองและสังคมที่เกิดขึ้นในแต่ละยุคแต่ละสมัยตามทัศนะของนักคิดนักปรัชญาการเมืองในยุคนั้นเป็นสำคัญ
และเนื่องจากแนวทางการศึกษาวิเคราะห์รัฐศาสตร์ที่แตกต่างกันหลากหลายดังกล่าว
นักวิชาการรัฐศาสตร์บางรายหรือบางสำนักจึงอาจนิยมชมชอบแนวทางการศึกษาแนวใดแนวหนึ่งเป็นการเฉพาะ
ในขณะที่หลายรายอาจนำเอาแนวทางการศึกษาหลายแนวมาผสมผสานกัน
ซึ่งได้ส่งผลให้ขอบเขตของการศึกษากว้างขวางออกไป ในบางยุคสมัย แนวทางการศึกษาหนึ่งอาจได้รับความนิยมอย่างโดดเด่น
ในขณะที่บางแนวการศึกษาอาจไม่ได้รับการยอมรับและถูกต้องวิพารษ์วิจารณ์ถึงความถูกต้องเหมาะสมต่อการนำเอามาใช้ในการศึกษาวิเคราะห์ปรากฎการณ์ทางการเมืองที่เกิดขึ้น
ดังเช่น แม้รัฐศาสตร์ยุคใหม่จะนิยมแนวทางการศึกษาแบบประจักษ์นิยมเชิงตรรก (logical
positivism) ซึ่งเป็นแนวทางและระเบียบวิธีการศึกษาวิเคราะห์รัฐศาสตร์อย่างหนึ่งที่ไม่มีการตัดสินว่าอะไรดีหรือไม่ดี
หรือปราศจากค่านิยมต่อสิ่งที่ศึกษา ( value-free judgement) และมีความเป็นวิทยาศาสตร์เพื่อให้ได้ความเป็นเหตุเป็นผล
(casuality) และความเป็นจริงของสิ่งที่นำมาศึกษา
หรือที่เรียกกันว่า “การศึกษารัฐศาสตร์เชิงพฤติกรรมศาสตร์ (behavioralism)”
ที่ได้กล่าวไปแล้ว แต่ในระยะต่อมา
ได้มีนักรัฐศาสตร์ยุคใหม่ได้โต้แย้งว่า
ท้จริงแล้วรัฐศาสตร์ที่ปราศจากคุณค่าหรือค่านิยม และอคติ อันเป็นสาระสำคัญของการศึกษารัฐศาสตร์เชิงพฤติกรรมนิยมนั้น
หาได้เป็นความจริงแต่อย่างใดไม่
เนื่องจากการเลือกประเด็นที่จะศึกษาก็เป็นการตัดสินใจที่แฝงคุณค่าหรือค่านิยมต่อเรื่องนั้นอยู่แล้ว
เช่น การศึกษาพฤติกรรมทางการเมืองและสถาบันทางการเมืองโดยละเลยที่จะพิจารณา
บทบาทของรัฐ นโยบายของรัฐและรูปแบบทางการเมืองการปกครอง
ก็ย่อมเป็นข้อสรุปเบื้องต้นอย่างกลาย ๆ อยู่แล้วว่า
ผู้ศึกษามองรูปแบบการปกครองของรัฐนั้นว่าเหมาะสมอยู่แล้ว
ซึ่งก็เป็นเรื่องของการแสดงฝักฝ่ายในการศึกษาอยู่นั่นเอง นอกจากนี้
การที่รัฐศาสตร์ล้วนพัวพันกับอำนาจและอิทธิพลทางการเมืองการปกครองและการแบ่งสรรผลประโยชน์หรือคุณค่าต่าง
ๆ ในสังคม ก็ยังป็นสิ่งที่สะท้องให้เห็นว่าความเป็นกลาง (neutrality) และความเป็นศาสตร์ (science) อย่างแท้จริงของรัฐศาสตร์แนวพฤติกรรมนิยมนี้
หาได้เป็นเช่นดังที่ เนวิล จอห์นสัน (Nevil Johnson) กล่าวไว้แต่อย่างใดเลย
แต่ก็เป็นที่ยอมรับกันในวงวิชาการรัฐศาสตร์ว่า
แนวทางการศึกษาวิเคราะห์รัฐศาสตร์นั้น พอจะแบ่งออกได้เป็น 6 แนวทางใหญ่ ๆ คือ
1. การศึกษาเรื่องรัฐบทบาทและหน้าที่ของรัฐ
2. การศึกษาเรื่องสถาบันทางการเมืองและการปกครอง
ที่มาแห่งอำนาจ การบ่งสรรอำนาจและรูปแบบการปกครอง
3. การศึกษาเรื่องอำนาจ
ผู้ครอบอำนาจ การใช้อำนาจหน้าที่
4. การศึกษาเรื่องการตัดสินตกลงใจและนโยบายสาธารณะ
5. การศึกษาเรื่องพฤติกรรมทางการเมือง
ช่น การรวมกลุ่ม การลงคะแนนเสียง และทัศนคติทางการเมือง
6. การศึกษารัฐศาสตร์โดยพิจารณาถึงปัจจัยทางสังคมและเศรษฐกิจที่เรียกว่า
สังคมวิทยาการเมือง (Political Sociology) และ
เศรษฐกิจการเมือง (Political economy)
ระเบียบวิธีการศึกษารัฐศาสตร์ (Methodology in Political Science)
ดังได้กล่าวไปแล้วว่า
ระเบียบวิธีการศึกษา หมายความถึง วิถีทางที่คน ๆ หนึ่งใช้ในการศึกษา
ไม่ว่าจะนิยามหรือคำจำกัดความ หรือแนวทางในการวิเคราะห์ อย่างไร
ไม่ว่าจะเป็นการศึกษาที่เป็นระบบหรือไม่
มีการสร้างแบบจำลองหรือตัวแบบของการศึกษาไว้หรือไม่ก็ตาม
ระเบียบวิธีการศึกษาแต่ละแบบที่มีอยู่ในการศึกษาวิชารัฐศาสตร์นั้น
จะเป็นแนวทางที่ช่วยให้นักรัฐศาสตร์สามารถทำความเข้าใจและอธิบายเกี่ยวกับเรื่องการเมืองได้อย่างถูกต้องมากยิ่งขึ้น
เกิดความรู้ความเข้าใจที่เที่ยงตรง
และเนื่องจากรัฐศาสตร์มิได้กล่าวถึงเพียงแต่เรื่องการเมืองการปกครองประการเดียว
แต่ยังหมายความกว้างถึงการศึกษาเกี่ยวกับการแจกแจงคุณค่าในเชิงอำนาจ
การบริหารและการแก้ไขปัญหาต่าง ๆ
ของสังคมรัฐศาสตร์นอกจากที่ต้องอาศัยองค์ความรู้เฉพาะแล้ว
ยังเป็นการสานความรู้หรือประสมประสานบูรณาการความรู้ในศาสตร์ด้านอื่น
อาทิประวัติศาสตร์ เศรษศาสตร์ การจัดการมนุษยวิทยา เป็นต้น ประกอบเข้าไปด้วย
ในอันที่จะช่วยให้เกิดความเข้าใจสิ่งที่ศึกษาเรื่องรัฐศาสตร์ที่มีความสลับซับซ้อน
เป็นไปอย่างแตกฉานยิ่งขึ้น
ระเบียบวิธีการศึกษาทางรัฐศาสตร์หากพิจารณาตามนิยามที่กล่าวถึงข้างต้นแล้ว
ก็กล่าวได้ว่าระเบียบวิธีการศึกษาเกิดขึ้นมาตั้งแต่แรกเริ่มมีการศึกษาเกี่ยวกับเรื่องการเมืองนั่นเอง
เพียงแต่แตกต่างกันไปบ้างตามจุดเน้นของแต่ละวิธี ซึ่งพิจารณาได้จากงานเขียนของ
สนธิ เตชานันท์ (2543, 9-17) ซึ่งได้จำแนกไว้อย่างน่าสนใจ ดังนี้
1. แนวทางการศึกษารัฐศาสตร์แบบเก่า
(Traditional political science)
แนวการศึกษาแบบนี้ประกอบไปด้วยระเบียบวิธีการศึกษาหลายแบบ
แต่ละแบบก็แตกต่างกันไปบ้าง ดังนี้
1.1 แบบปรัชญาการเมืองคลาสสิค
(Classical political philosophy)
แนวทางการวิเคราะห์แบบนี้ถือได้ว่าเป็นวิธีที่เก่าแก่ที่สุด
โดยมีลักษณะที่สำคัญคือ การประเมินค่าสิ่งที่นักปรัชญาการเมืองสนใจ
ประกอบกับการใช้วิธีการอนุมานหรือคาดคิดเอาด้วยเหตุด้วยผลเท่าที่มีอยู่ว่าการเมืองคืออะไร
ระบบการปกครองที่ดีที่สุด ผู้ปกครองที่ดีที่สุดควรจะเป็นอย่างไร
ดังที่ได่กล่าวไปแล้วในเรื่องแนวทางการศึกษาวิเคราะห์ปรัชญาการเมือง
1.2 แบบประวัติศาสตร์ (Historical
method)
แนวทางการศึกษาแบบนี้ได้เริ่มต้นขึ้นมาในช่วงคริสต์ศตวรรษที่
19 ใน สหรัฐอเมริกาและยังคงใช้กันมากในปัจจุบัน
โดยนักรัฐศาสตร์เชื่อกันว่ารัฐศาสตร์มีต้นกำเนิดมาจากสาขาวิชาประวัติศาสตร์
หรือเป็นวิชาประวัติศาสตร์การเมืองซึ่งรวมตลอดถึงประวัติพรรคการเมือง ประวัติความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ
และประวัติความคิดทางการเมืองที่สำคัญต่าง ๆ
และเห็นว่าวิธีการศึกษาแบบนี้เป็นสิ่งจำเป็นที่ช่วยให้สามารถทำความเข้าใจความเป็นจริงของสถาบันการเมืองต่าง
ๆ ได้อย่างถ่องแท้
1.3 แบบกฎหมาย (Legalistic
method)
แนวทางการศึกษาแบบนี้ถือว่า
เป็นเรื่องธรรมดาที่การศึกษาในเรื่องการเมืองกับกฎหมายหรือระบบกฎหมายมีความเกี่ยวพันกัน
และได้กลายเป็นสิ่งที่วางพื้นฐานการศึกษารัฐศาสตร์อเมริกันที่พิจารณาว่า
รัฐศาสตร์แท้จริงแล้วคือการศึกษาระบบกฎหมายและรัฐธรรมนูญ
1.4 แบบวิเคราะห์สถาบัน
(Institutional analysis method)
แนวทางการวิเคราะห์แบบนี้เกิดขึ้นจากความตระหนักของนักรัฐศาสตร์ว่าการเมืองเป็นสิ่งที่มากไปกว่าระบบกฎหมายและรัฐธรรมนูญ
และเพื่อให้มีการพูดถึงการเมืองตามความเป็นจริงและเพียนงพ่อต่อการทำความเข้าใจรัฐศาสตร์ที่ไม่สามารถหาคำตอบได้จากวิธีการศึกษาแบบกฎหมายและประวัติศาสตร์
การวิเคราะห์สถาบันการเมืองจะเป็นวิธีการหนึ่งที่ช่วยให้นักรัฐศาสตร์มองเห็นหรือได้ศึกษาเกี่ยวกับความป็นจริงทางการเมืองมากที่สุด
แต่อย่างไรก็ดี
จุดมุ่งหมายของวิธีการศึกษาแบบนี้มีลักษณะสำคัญของการพรรณารายละเอียดสถาบันทางการเมือง
อำนาจ บทบาทและหน้าที่ของประธานาธิบดี ด้วยวิธีการสังเกตที่ไม่ลึกซึ้ง
ที่มิใช่การอธิบายระบบการเมือง
2. ระเบียบวิธีการศึกษาเชิงพฤติกรรมนิยม
(Behavioralism)
ภายหลังที่นักรัฐศาสตร์ได้หันเหความสนใจไปศึกษาการเมืองในเชิงวิเคราะห์มากขึ้น
เพื่อจะยกฐานะของวิชารัฐศาสตร์ให้ทัดเทียมกับวิชาสังคมศาสตร์อื่น ๆ
พร้อมกับความก้าวหน้าทางระเบียบวิธีการศึกษาหลายอย่างที่อาศัยวิธีการทางวิทยาศาสตร์มาใช้
ได้ก่อให้การศึกษาวิชารัฐศาสตร์หันเหความสนใจจากเดิมที่เป็นการอนุมานหรือการประเมินค่าสิ่งที่ศึกษาตามความเห็นหรือทัศนะของนักรัฐศาสตร์
เช่นที่นักวิชาการบางท่านเรียกว่าเป็น “การคาดคิดไปตามอำเภอใจ”
ซึ่งได้รับการวิพากษ์ถึงความน่าเชื่อถือในแง่ความเป็นศาสตร์ที่สามารถนำมาอธิบายการเมืองได้อย่างกว้างขวางถูกต้อง
ได้เป็นสิ่งผลักดันให้รัฐศาสตร์นำเอาเทคนิควิธีศึกษาเชิงศาสตร์อันได้แก่วิธีการเชิงปริมาณ
การรวบรวมข้อมูลที่พิสูจน์ได้ สนใจปรากฎการณ์ที่สังเกตได้
การวัดที่มีความถูกต้องแม่นยำ การวิเคราะห์อย่างมีระเบียบวิธีและอ้างอิงทฤษฎี
โดยเชื่อว่าทฤษฎีและผลของการค้นพบที่นำไปสู่ข้อสรุป
จะช่วยเป็นแนวทางในการศึกษาวิจัย ซึ่งเป็นสิ่งที่สำคัญของรัฐศาสตร์ทุกสาขา
มาใช้ในการศึกษาวิเคราะห์โดยเฉพาะในส่วนที่เกี่ยวกับพฤติกรรมทางการเมืองของมนุษย์ไปด้วย
โดยแนวทางการศึกษารัฐศาสตร์เชิงพฤติกรรมด้านหนึ่งได้แก่การเน้นในการศึกษาพฤติกรรมของผู้ดำเนินการทางการเมืองเป็นสำคัญ
ที่มักจะปฏิเสธแนวทางแบบวิเคราะห์สถาบัน ซึ่งนักรัฐศาสตร์บางท่านเช่น เดวิด อีสตัน
(David Easton) ได้เรียกร้องให้นักรัฐศาสตร์หันมาสนใจศึกษาเกีย่วกับกิจกรรมทางการเมืองมากกว่าการศึกษาสถาบันทางการเมือง
3. ระเบียบวิธีการศึกษายุคหลังพฤติกรรมศาสตร์
(Post-behavioralism)
วิธีการศึกษาแบบนี้มีที่มาจากการที่นักวิชาการรัฐศาสตร์รุนใหม่ในช่วงกลางคริสต์ทศวรรษที่
1960 ไม่ยอมรับระเบียบวิธีการศึกษาแบบพฦติกรรมนิยมที่ยึดมั่นวิธีการทางวิทยาศาสตร์มากเกินไ
ป โดยวิภาควิจารณ์หรือกลับเคลื่อนไหวปฎิรูปวิชารัฐศาสตร์หรือเป็นยุคที่เรียกว่า “การปฏิวัติยุคหลังแนวการศึกษาเชิงพฤติกรรม (the Post-behavioralism
Revolution)” โดยสาระสำคัญในแนวคิดของนักรัฐศาสตร์กลุ่มนี้คือเห็นว่ายิ่งรัฐศาสตร์ใช้วิธีการศึกษาทางวิทยาศาสตร์ประกอบกับการแยกค่านิยมออกจากการเมืองมากเท่าใด
นักรัฐศาสตร์ก็จะยิ่งห่างไกลจากการเมืองมากขึ้นเท่านั้น
และจะทำให้นักรัฐศาสตร์มุ่งแต่ความสนใจที่จะศึกษาเรื่องเล็ก ๆ น้อย ๆ
มากกว่าที่จะมองปัญหาสำคัญ ๆ ทางการเมือง ด้วยเหตุนี้
นักรัฐศาสตร์จึงต้องให้ความสำคัญต่อค่านิยมในการพิจารณาตัดสินเรื่องการเมืองการปกครอง
อันแตกต่างไปจากการศึกษาเชิงพฤติกรรมนิยมที่มุ่งแยกส่วนค่านิยมออกจากข้อเท็จจริง
ขอบคุณข้อมูลดีๆจาก http://knowledge.eduzones.com/knowledge-2-2-31538.html
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น