วันจันทร์ที่ 30 กรกฎาคม พ.ศ. 2555

ศาสตร์ของรัฐศาสตร์ (Political Science)


ศาสตร์ของรัฐศาสตร์ (Political Science)

อ.วิชาญ ฤทธิธรรม
การศึกษารัฐศาสตร์ตามแนวตะวันตกมีพัฒนาการมาตั้งแต่สมัยศตวรรษที่ 5 (สมัยเอเธนส์) นักปราชญ์คนสำคัญเช่น เพลโต อริสโตเติล มาจนถึงปัจจุบันศตวรรษที่ 21 รัฐศาสตร์จำเป็นต้องมีการอธิบายที่เป็นเหตุผล มีหลักการเนื่องจากรัฐศาสตร์ศึกษาความสัมพันธ์ของคนในสังคมที่แยกได้เป็น 2 กลุ่มใหญ่ คือ
  • คนที่ทำหน้าที่บริหารหรือปกครองประเทศ เรียกว่ารัฐบาลหรือภาครัฐ (State)
  • ประชาชน ปัจจุบันเรียกว่าประชาสังคม(ประชาชนที่มีความรู้ มีเจตจำนง รวมตัวกันเป็นกลุ่ม ชมรม ชุมชนหรือองค์กรต่างๆ)
การอธิบายความสัมพันธ์ระหว่างคนสองภาคส่วนนี้คือหน้าที่ของรัฐศาสตร์ ว่าพฤติกรรมของทั้งประชาชนและรัฐว่าเป็นไปตามแนวทางที่ควรจะเป็นหรือไม่ 

หลักรัฐศาสตร์กว้างกว่าหลักกฎหมายเพราะรัฐศาสตร์เป็นศาสตร์ในการปกครองเป็นทั้งศาสตร์และศิลป์ ในขณะที่หลักกฎหมายก็มีศิลปะอยู่ด้วยแต่มุมมองของนักกฎหมายมักจะยึดอยู่กับความเป็นศาสตร์อย่างเดียว อริสโตเติลเคยพูดไว้ตั้งแต่ศตวรรษที่ 5 ว่า Law is reason not passion. กฎหมายทั่วโลกจึงต้องยึดหลักเหตุผลที่อยู่บนฐานข้อมูลที่เชื่อถือได้ แต่รัฐศาสตร์มองว่าการบริหารความต้องการของประชาชนซึ่งประกอบด้วยความสุขความทุกข์ความเป็นธรรมซึ่งเป็นศิลป์เข้ามาประกอบด้วย. 

การอธิบายทางรัฐศาสตร์จะต้องประกอบด้วยทฤษฎีหลากหลาย เพราะรัฐศาสตร์เป็นสหวิทยาการ ราวหลังสงครามโลกครั้งที่ 2 รัฐศาสตร์ได้นำสาขาวิชาอื่นมาเสริมเพื่อให้มีความครอบคลุมมากขึ้นในการหาคำตอบคำอธิบายทางรัฐศาสตร์ให้ได้ เช่น

  • สังคมวิทยา (Sociology)
  • จิตวิทยาสังคม (Social Psycology)
  • เศรษฐศาสตร์ (Economics)
  • เศรษฐศาสตร์การเมือง (Political Economy) 
    เป็นต้น
ความหมายของรัฐและกฎหมาย 

ความหมายของรัฐ 
รัฐ คือ กลุ่มคนที่รวมกันอยู่ในดินแดนอันมีอาณาเขตแน่นอน และมีรัฐบาลซึ่งมีอํานาจอธิปไตย หรืออํานาจสูงสุดในการดําเนินการของรัฐทั้งในและนอกประเทศโดยอิสระ 

รัฐ ประกอบด้วย 4 ส่วนสำคัญคือ

1.            ประชากร หมายถึงประชาชนที่ตั้งถิ่นฐานอาศัยอยู่ในดินแดนหรือขอบเขตของรัฐนั้น
2.            ดินแดน หรือ อาณาเขตรัฐต้องมีดินแดน หรืออาณาเขตที่ตั้งที่แน่นอน จะมีขนาดเล็ก หรือใหญ่ก็ได
3.            รัฐบาล รัฐจําเป็นต้องมีหน่วยงานที่ทําหน้าที่ปกครอง ซึ่งเรียกว่า รัฐบาลเป็นผู้ทําหน้าที่คุ้มครองรักษาความสงบภายในป้องกันการรุกรานจากภายนอก การจัดการฯลฯ
4.            อํานาจอธิปไตย หมายถึง อํานาจสูงสุดในการปกครองของรัฐ ซึ่งทําให้รัฐมีอิสระเสรีภาพและความเป็นเอกราชในอํานาจอธิปไตยใน
รัฐมีแนวคิดเกี่ยวกับรัฐอยู่ 4 แนวทาง คือ
1.            รัฐในฐานะที่เป็นรัฐบาล (The state as government) ซึ่งหมายถึง กลุ่มบุคคลที่ดำรงตำแหน่งซึ่งมีอำนาจในการตัดสินใจในสังคมการเมือง
2.            รัฐในฐานะที่เป็นระบบราชการ (The state as public bureaucracy) หรือเครื่องมือทางการบริหารที่เป็นปึกแผ่นและเป็นระเบียบทางกฎหมายที่มีความเป็นสถาบัน ทั้งสองความหมายนี้เป็นการมองรัฐตามแนวคิดของนักสังคมศาสตร์ที่มิใช่มาร์กซิสต์
3.            รัฐในฐานะที่เป็นชนชั้นปกครอง (The state as ruling class) เป็นความหมายในแนวคิดของมาร์กซิสต์
4.            รัฐในฐานะที่เป็นโครงสร้างทางอุดมการณ์ (The state as normative order) ซึ่งเป็นแนวคิดของนักมานุษยวิทยา
ความหมายของกฎหมาย 

กฎหมาย หมายถึง ข้อบังคับ หรือกฎเกณฑ์ที่รัฐกําหนดขึ้นเพื่อควบคุมความประพฤติของประชาชนให้ปฏิบัติตามเพื่อความเป็นระเบียบเรียบร้อยในสังคม หากผู้ใดไม่ปฏิบัติตามย่อมมีความผิดและถูกลงโทษ 

ที่มาของกฎหมาย กฎหมายมีที่มาอยู่ 2 ทาง คือ

1.            มาจากจารีตประเพณี ที่มนุษย์ในสังคมได้ประพฤติและปฏิบัติมาเป็นเวลาช้านาน โดยไม่ขัดต่อความสงบเรียบร้อยและศีลธรรมอันดีของประชาชน
2.            มาจากตัวบทกฎหมาย เป็นกฎหมายที่เป็นลายลักษณ์อักษรที่ตราขึ้นโดยผู้ที่มีอํานาจสูงสุดภายในรัฐนั้นๆ
ระบบกฎหมาย มี2 ระดับคือ
1.            ระบบจารีตประเพณี คือ กฎหมายที่ไม่เป็นลายลักษณ์อักษร อาศัยจารีตประเพณีหรือคําพิพากษาของศาล โดยใช้เหตุผลของนักกฎหมายเป็นหลัก เช่น กฎหมายในประเทศอังกฤษ และประเทศในเครือจักรภพ
2.            ระบบลายลักษณ์อักษร คือ กฎหมายที่เป็นลายลักษณ์อักษร มีลักษณะเป็นตัวบทและประมวลกฎหมายที่เขียน หรือพิมพ์เป็นลายลักษณ์อักษรเป็นหมวดหมู่ ซึ่งมีประวัติมาจากกฎหมายโรมันโดยระบบกฎหมายแบบนี้นิยมใช้กันในประเทศต่างๆประเภทของกฎหมาย
กฎหมายถ้าแบ่งตามข้อความกฎหมายแบ่งได้ 3 ประเภทคือ
1.            กฎหมายเอกชน คือ กฎหมายที่บัญญัติถึงความสัมพันธ์ระหว่างเอกชนกับเอกชนในฐานะเท่าเทียมกันเช่นประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ ประมวลกฎหมายที่ดิน
2.            กฎหมายมหาชน คือ กฎหมายที่บัญญัติถึงความสัมพันธ์ระหว่างรัฐ หรือ หน่วยงานของรัฐกับเอกชน อันได้แก่ ราษฎรทั่วไป ในฐานะที่รัฐเป็นฝ่ายปกครองที่มีอํานาจเหนือกว่าราษฎร กฎหมายมหาชน ได้แก่ กฎหมายรัฐธรรมนูญ กฎหมายปกครองกฎหมายอาญา กฎหมายว่าด้วยพระธรรมนูญศาลยุติธรรม กฎหมายว่าด้วยพิจารณาความอาญา
3.            กฎหมายระหว่างประเทศ คือ กฎหมายที่บัญญัติถึงความสัมพันธ์ระหว่างรัฐต่อรัฐ หรือประชาชนในรัฐหนึ่งกับประชาชนอีกรัฐหนึ่ง โดยถือว่ารัฐนี้มีฐานะเป็นนิติบุคคลตามกฎหมายระหว่างประเทศ กฎหมายระหว่างประเทศแบ่งออกเป็น 3 แผนกคือ 
1) กฎหมายระหว่างประเทศแผนกคดีเมือง 
2) กฎหมายระหว่างประเทศแผนกคดีบุคคล 
3) กฎหมายระหว่างประเทศแผนกคดีอาญา

ขอบคุณข้อมูลดีๆจาก http://www.baanjomyut.com/library/political_science/index.html

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น