ศาสตร์ของรัฐศาสตร์
(Political
Science)
อ.วิชาญ ฤทธิธรรม
การศึกษารัฐศาสตร์ตามแนวตะวันตกมีพัฒนาการมาตั้งแต่สมัยศตวรรษที่ 5 (สมัยเอเธนส์) นักปราชญ์คนสำคัญเช่น เพลโต
อริสโตเติล มาจนถึงปัจจุบันศตวรรษที่ 21 รัฐศาสตร์จำเป็นต้องมีการอธิบายที่เป็นเหตุผล
มีหลักการเนื่องจากรัฐศาสตร์ศึกษาความสัมพันธ์ของคนในสังคมที่แยกได้เป็น 2 กลุ่มใหญ่ คือ- คนที่ทำหน้าที่บริหารหรือปกครองประเทศ
เรียกว่ารัฐบาลหรือภาครัฐ (State)
- ประชาชน ปัจจุบันเรียกว่าประชาสังคม(ประชาชนที่มีความรู้
มีเจตจำนง รวมตัวกันเป็นกลุ่ม ชมรม ชุมชนหรือองค์กรต่างๆ)
หลักรัฐศาสตร์กว้างกว่าหลักกฎหมายเพราะรัฐศาสตร์เป็นศาสตร์ในการปกครองเป็นทั้งศาสตร์และศิลป์ ในขณะที่หลักกฎหมายก็มีศิลปะอยู่ด้วยแต่มุมมองของนักกฎหมายมักจะยึดอยู่กับความเป็นศาสตร์อย่างเดียว อริสโตเติลเคยพูดไว้ตั้งแต่ศตวรรษที่ 5 ว่า Law is reason not passion. กฎหมายทั่วโลกจึงต้องยึดหลักเหตุผลที่อยู่บนฐานข้อมูลที่เชื่อถือได้ แต่รัฐศาสตร์มองว่าการบริหารความต้องการของประชาชนซึ่งประกอบด้วยความสุขความทุกข์ความเป็นธรรมซึ่งเป็นศิลป์เข้ามาประกอบด้วย.
การอธิบายทางรัฐศาสตร์จะต้องประกอบด้วยทฤษฎีหลากหลาย เพราะรัฐศาสตร์เป็นสหวิทยาการ ราวหลังสงครามโลกครั้งที่ 2 รัฐศาสตร์ได้นำสาขาวิชาอื่นมาเสริมเพื่อให้มีความครอบคลุมมากขึ้นในการหาคำตอบคำอธิบายทางรัฐศาสตร์ให้ได้ เช่น
- สังคมวิทยา (Sociology)
- จิตวิทยาสังคม (Social
Psycology)
- เศรษฐศาสตร์ (Economics)
- เศรษฐศาสตร์การเมือง (Political
Economy)
เป็นต้น
ความหมายของรัฐ
รัฐ คือ กลุ่มคนที่รวมกันอยู่ในดินแดนอันมีอาณาเขตแน่นอน และมีรัฐบาลซึ่งมีอํานาจอธิปไตย หรืออํานาจสูงสุดในการดําเนินการของรัฐทั้งในและนอกประเทศโดยอิสระ
รัฐ ประกอบด้วย 4 ส่วนสำคัญคือ
1.
ประชากร
หมายถึงประชาชนที่ตั้งถิ่นฐานอาศัยอยู่ในดินแดนหรือขอบเขตของรัฐนั้น
2.
ดินแดน หรือ
อาณาเขตรัฐต้องมีดินแดน หรืออาณาเขตที่ตั้งที่แน่นอน จะมีขนาดเล็ก หรือใหญ่ก็ได
3.
รัฐบาล
รัฐจําเป็นต้องมีหน่วยงานที่ทําหน้าที่ปกครอง ซึ่งเรียกว่า “รัฐบาล” เป็นผู้ทําหน้าที่คุ้มครองรักษาความสงบภายในป้องกันการรุกรานจากภายนอก
การจัดการฯลฯ
4.
อํานาจอธิปไตย หมายถึง
อํานาจสูงสุดในการปกครองของรัฐ
ซึ่งทําให้รัฐมีอิสระเสรีภาพและความเป็นเอกราชในอํานาจอธิปไตยใน
รัฐมีแนวคิดเกี่ยวกับรัฐอยู่ 4 แนวทาง คือ
1.
รัฐในฐานะที่เป็นรัฐบาล (The state as government) ซึ่งหมายถึง กลุ่มบุคคลที่ดำรงตำแหน่งซึ่งมีอำนาจในการตัดสินใจในสังคมการเมือง
2.
รัฐในฐานะที่เป็นระบบราชการ
(The state as public bureaucracy) หรือเครื่องมือทางการบริหารที่เป็นปึกแผ่นและเป็นระเบียบทางกฎหมายที่มีความเป็นสถาบัน
ทั้งสองความหมายนี้เป็นการมองรัฐตามแนวคิดของนักสังคมศาสตร์ที่มิใช่มาร์กซิสต์
3.
รัฐในฐานะที่เป็นชนชั้นปกครอง
(The state as ruling class) เป็นความหมายในแนวคิดของมาร์กซิสต์
4.
รัฐในฐานะที่เป็นโครงสร้างทางอุดมการณ์
(The state as normative order) ซึ่งเป็นแนวคิดของนักมานุษยวิทยา
ความหมายของกฎหมาย กฎหมาย หมายถึง ข้อบังคับ หรือกฎเกณฑ์ที่รัฐกําหนดขึ้นเพื่อควบคุมความประพฤติของประชาชนให้ปฏิบัติตามเพื่อความเป็นระเบียบเรียบร้อยในสังคม หากผู้ใดไม่ปฏิบัติตามย่อมมีความผิดและถูกลงโทษ
ที่มาของกฎหมาย กฎหมายมีที่มาอยู่ 2 ทาง คือ
1.
มาจากจารีตประเพณี
ที่มนุษย์ในสังคมได้ประพฤติและปฏิบัติมาเป็นเวลาช้านาน
โดยไม่ขัดต่อความสงบเรียบร้อยและศีลธรรมอันดีของประชาชน
2.
มาจากตัวบทกฎหมาย
เป็นกฎหมายที่เป็นลายลักษณ์อักษรที่ตราขึ้นโดยผู้ที่มีอํานาจสูงสุดภายในรัฐนั้นๆ
ระบบกฎหมาย มี2 ระดับคือ
1.
ระบบจารีตประเพณี คือ
กฎหมายที่ไม่เป็นลายลักษณ์อักษร อาศัยจารีตประเพณีหรือคําพิพากษาของศาล
โดยใช้เหตุผลของนักกฎหมายเป็นหลัก เช่น กฎหมายในประเทศอังกฤษ
และประเทศในเครือจักรภพ
2.
ระบบลายลักษณ์อักษร คือ
กฎหมายที่เป็นลายลักษณ์อักษร มีลักษณะเป็นตัวบทและประมวลกฎหมายที่เขียน หรือพิมพ์เป็นลายลักษณ์อักษรเป็นหมวดหมู่ ซึ่งมีประวัติมาจากกฎหมายโรมันโดยระบบกฎหมายแบบนี้นิยมใช้กันในประเทศต่างๆประเภทของกฎหมาย
กฎหมายถ้าแบ่งตามข้อความกฎหมายแบ่งได้ 3 ประเภทคือ
1.
กฎหมายเอกชน คือ
กฎหมายที่บัญญัติถึงความสัมพันธ์ระหว่างเอกชนกับเอกชนในฐานะเท่าเทียมกันเช่นประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ ประมวลกฎหมายที่ดิน
2.
กฎหมายมหาชน คือ
กฎหมายที่บัญญัติถึงความสัมพันธ์ระหว่างรัฐ หรือ หน่วยงานของรัฐกับเอกชน อันได้แก่ ราษฎรทั่วไป
ในฐานะที่รัฐเป็นฝ่ายปกครองที่มีอํานาจเหนือกว่าราษฎร กฎหมายมหาชน ได้แก่ กฎหมายรัฐธรรมนูญ
กฎหมายปกครองกฎหมายอาญา กฎหมายว่าด้วยพระธรรมนูญศาลยุติธรรม
กฎหมายว่าด้วยพิจารณาความอาญา
3.
กฎหมายระหว่างประเทศ คือ
กฎหมายที่บัญญัติถึงความสัมพันธ์ระหว่างรัฐต่อรัฐ
หรือประชาชนในรัฐหนึ่งกับประชาชนอีกรัฐหนึ่ง
โดยถือว่ารัฐนี้มีฐานะเป็นนิติบุคคลตามกฎหมายระหว่างประเทศ
กฎหมายระหว่างประเทศแบ่งออกเป็น 3 แผนกคือ
1) กฎหมายระหว่างประเทศแผนกคดีเมือง
2) กฎหมายระหว่างประเทศแผนกคดีบุคคล
3) กฎหมายระหว่างประเทศแผนกคดีอาญา
1) กฎหมายระหว่างประเทศแผนกคดีเมือง
2) กฎหมายระหว่างประเทศแผนกคดีบุคคล
3) กฎหมายระหว่างประเทศแผนกคดีอาญา
ขอบคุณข้อมูลดีๆจาก http://www.baanjomyut.com/library/political_science/index.html
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น